ผู้เข้าชม
0

ของขวัญที่แท้ : ความหมายแห่งคริสต์มาส

การรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวันคริสต์มาส จำกัดอยู่แค่รูปแบบภายนอกที่น่าตื่นเต้น อย่างเช่น ของขวัญ ซานตาคลอส ต้นสน และเพลงจิงเกิลเบลล์
26 ธันวาคม 2565


ของขวัญที่แท้: ความหมายแห่งคริสต์มาส

อาภาภิรัตน์ วัลลิโภดม

หน้าที่ 1/4

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า วันที่ ๒๕ ธันวาคมของทุกปีคือวันคริสต์มาส อันเป็นวันที่คริสตชนทั่วโลกร่วมกันเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระเยซูคริสต์

ตอนเด็กๆ การรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวันคริสต์มาส จำกัดอยู่แค่รูปแบบภายนอกที่น่าตื่นเต้น อย่างเช่น ของขวัญ ซานตาคลอส ต้นสน และเพลงจิงเกิลเบลล์ จำได้ว่า เคยแอบอิจฉาพวกเด็กๆ ที่เกิดในครอบครัวคริสต์ใจจะขาด เพราะรู้ว่าในคืนก่อนวันคริสต์มาส เขาจะเอาถุงเท้าไปแขวนไว้ที่หน้าเตาผิงหรือที่ต้นคริสต์มาส เพื่อรอให้ซานตาคลอสมาหยอดของขวัญใส่ลงไป  ตอนนั้นคิดอย่างเขม่นเข่นเขี้ยวว่า ทำไม่ทางพุทธไม่มีประเพณีอะไรสนุกๆ และเก๋ไก๋แบบนี้บ้าง...ไม่มีเด็กคนไหนไม่อยากได้ของขวัญหรอก...จริงไหม?

การเกิดมาในครอบครัวพุทธทำให้ไม่มีอคติเรื่องการเฉลิมฉลองของศาสนาอื่น แต่กระนั้นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความสนใจที่จะค้นหาความหมายและที่มาที่ไปของเทศกาลดังกล่าว จนกระทั่งได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ และได้อยู่ในบรรยากาศอันน่าตะลึงตะลานและน่าประหวั่นพรั่นพรึงของคริสต์มาส (!?!)

ใครก็ตามที่คิดจะไปเรียนต่อต่างประเทศ หากรู้ตัวว่ามิได้เป็นคนใจคออำมหิตโหดร้าย ประเภทไม่อยากนับญาติกับใคร ยังรู้จักคิดถึงคนโน้นคนนี้ มีแก่ใจเขียนจดหมายส่งข่าวคราวไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกับพ่อแม่และเพื่อนฝูงอยู่เนืองๆ ขอเตือนกันด้วยความรักและหวังดีในฐานะผู้ที่เคยอาบน้ำ (ตา)ร้อนๆ มาก่อนว่า อย่าได้ริอ่านทำอวดเก่งอยู่ฉลองคริสต์มาสคนเดียวในต่างแดนเป็นอันขาด ยิ่งถ้าอยู่ห่างไกลจากแสงสีในเมืองยิ่งแล้วใหญ่ เพราะร้านรวงจะปิดหมด ใครต่อใคร—ท้ังนักศึกษาและผู้ประกอบการ ต่างพากันเดินทางกลับถิ่นฐานเพื่อร่วมฉลองกับครอบครัว อากาศปลายปีทั้งหนาวทั้งไร้สีสัน หมู่ไม้ยืนต้นสล้างไม่มีดอกใบประดับให้ชื่นอกชื่นใจอะไรทั้งสิ้น มองไปทางไหนก็เป็นสีเทา ร้างทั้งสรรพชีวิตและผู้คนจนราวกับเป็นวันสิ้นโลก เป็นบรรยากาศชวนฆ่าตัวตาย—โยกย้ายไปอยู่อีกโลกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

พระเยซูคริสต์

(ภาพจาก news-th.churchofjesuschrist.org)

หน้าที่ 2/4

หากอยู่คนเดียว ทางที่ดีควรเดินทางเข้าเมือง  บรรยากาศในเมืองใหญ่ทำให้คริสต์มาสกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แสนพิเศษและคู่ควรกับการเฉลิมฉลองอย่างแท้จริง ถนนและร้านค้าประชันตบแต่งแข่งขันกันสุดชีวิต ไฟประดับดวงเล็กๆ นับล้านดวงส่องสว่างแม้ไม่มีทางเทียบเท่ากับแสงยามกลางวัน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจอุ่นได้้บ้าง อย่างไรเสียถนนกลางเมืองก็ยังมีสัญญาณแห่งชีวิต—ผู้คนที่เดินขวักไขว่ คุณตาจูงคุณยาย วัยรุ่นเดินก้มหน้าหนีความหนาว คู่รักควงแขนอ้อยอิ่ง และเหล่านักชอปที่ชอปกันกระจาย นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความตะลึงตะลาน เพราะในเมืองไทยไม่มีบรรยากาศของเทศกาลที่ชัดเจนและเข้มข้นขนาดนี้ ต่อให้คิดถึงบ้านขนาดไหน ก็ยังพอทำใจครึ้มๆ ฮัมเพลงคริสต์มาสที่ลอยมาเข้าหูแว่วๆ ได้บ้าง

บทเพลงคริสต์มาส ไม่ว่าจะเป็น Silent Night หรือ Jingle Bell ล้วนมีพลังในการปลุกเร้าที่ยกระดับจิตใจมนุษย์ให้สัมผัสกับสุนทรียภาพและความชุ่มชื่นเยือกเย็นของจิตวิญญาณสากลที่เปี่ยมด้วยการุณยธรรม บทเพลงนำพาหัวใจให้ใคร่ครวญและถวิลหาในสิ่งที่สูงส่ง รวมทั้งส่งสารแห่งความหวังและการเริ่มต้น ที่จำเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่

The Bigger the Front, the Bigger the Back

อีกด้านของความสวยงามที่ตีคู่มากับการเฉลิมฉลองคริสต์มาสคือ ความเครียดอันเกิดจากภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลที่หมดไปกับการหาซื้อของขวัญ ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาแห่งของ

ขวัญ เป็นเทศกาลที่คาดหวังให้มีการรับและมอบของขวัญ ฝรั่งเครียดเรื่องนี้กันมาก ถ้าใครเคยอ่านเรื่องสี่ดรุณี

(Little Women) วรรณกรรมระดับขึ้นหิ้งคลาสสิคของลุยซ่า เมย์ อัลคอตต์ (Louisa May Alcott) คงเคยสะดุดกับประโยคที่โจ (พี่สาวคนรองหัวขบถผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน) บ่นได้ว่า: คริสต์มาสคงไม่ใช่คริสต์มาส ถ้าปราศจากของขวัญ (Christmas won’t be Christmas without any presents.)

...แล้วอะไรคือของขวัญที่แท้จริง อันเป็นต้นตอและที่มาของวันคริสต์มาสเล่า...?

The Nativity Story—กำเนิดพระเยซู

ของขวัญที่แท้ในคริสต์มาสแรก—อันเป็นคืนประสูติของพระกุมารเยซูเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วนั้น เชื่อกันว่าเป็นของขวัญที่ห่อหุ้มด้วยความมหัศจรรย์และปาฎิหาริย์

...ความมหัศจรรย์และปาฎิหาริย์...

 

ซานต้า และของขวัญ

(ขอบคุณภาพจาก www.thairath.co.th)

 

นี่กระมัง อาจเป็นสาเหตุที่เราไม่เคยพบเจอของขวัญชนิดนี้เลย ไม่ว่าจะในห้างสรรพสินค้า ชอปปิ้งออนไลน์ หรือตามแค็ตตาลอก เพราะความมหัศจรรย์และปาฏิหาริย์สั่งซื้อกันไม่ได้

ของขวัญชิ้นแรกมาจากพระเจ้า เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข (unconditional love) พระเยซคริสต์ คือของขวัญอันล้ำค่าที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์เพื่อไถ่บาป ภาระกิจของพระบุตรคือการตายแทนคนบาปบนไม้กางเขน เพื่อนำมวลมนุษย์กลับมาสมัครสมานสามัคคีกับพระผู้สร้างอีกครั้ง

ของขวัญชิ้นต่อมา มาจากหญิงพรหมจรรย์แรกรุ่นนามมิเรียม—ครอบครัวและเพื่อนๆ เรียกเธอว่า “มารีย์” ของขวัญคริสต์มาสที่เธอมอบให้โลกคือ การยอมสละซึ่งอัตตาตัวตน (selflessness) โดยสิ้นเชิง และเต็มใจให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามโองการสวรรค์ เธออุทิศร่างเพื่อเป็นครรภ์รองรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (The Holy Spirit) ที่เสด็จมากำเนิดเป็นพระเยซู

โจเซฟ—คู่หมั้นของมารีย์ ให้ของขวัญแห่งศรัทธาและความไว้วางใจ เขาเชื่อว่ามารีย์ไม่ได้คบชู้สู่ชาย หากแต่ตั้งท้องด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ เขาแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามพระประสงค์และแผนการของพระผู้เป็นเจ้า

การบังเกิดของพระกุมาร นำมาซึ่งการให้อภัย การเยียวยา ความเต็มเปี่ยม โอกาส ความรอด และความหวัง

 

หน้าที่ 3/4

“คริสต์มาส” วันแห่งการแบ่งปันความสุขกับผู้เป็นที่รัก

(ขอบคุณภาพจาก www.aroundonline.com)

 

ของขวัญจากทูตสวรรค์ คือ ความมั่นใจ ความโล่งใจ ความชื่นชมยินดี และสันติสุข การปรากฏตัวของทูตสวรรค์เพื่อบอกกล่าวเทวบัญชา นำความกระจ่างและสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นข่าวสารแห่งความหวังและเปี่ยมพลัง เพื่อย้ำเตือนว่า—ไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวเลย

เด็กเลี้ยงแกะ ให้แกะตัวโปรด อันเป็นสิ่งล้ำค่่าที่สุดที่ตนมี เพื่อเป็นของขวัญสำหรับทารกน้อย ของขวัญที่ต่ำต้อยแท้จริงคือ น้ำใจอันกว้างขวางและพิสุทธิ์

ภรรยาเจ้าของโรงแรม ให้ของขวัญคือ ความเมตตาและการแบ่งปัน เมืองเบธเลเฮมในคืนวันที่พระกุมารจะประสูติ คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาเพื่อขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว (census) ตามคำสั่งของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส (Ceasar Augustus) ถนนเต็มไปด้วยยานพาหนะและฝูงสัตว์ ไม่มีที่ใดเลยจะรองรับหญิงท้องแก่ที่จวนคลอดเต็มที ด้วยความสงสาร เธอจึงหยิบยื่น “ที่ว่าง” ซึ่งเป็นคอกสัตว์ให้หนุ่มสาวได้พักแรม มอบผ้าอ้อมสำหรับแม่และพระกุมาร รวมทั้งอาหารสำหรับโจเซฟ และหญ้าแห้งสำหรับลา

โหราจารย์จากบูรพาทิศ (the Magi) ขี่อูฐติดตามดวงดาวที่บ่งชี้การบังเกิดขึ้นของ “ราชันย์แห่งราชันย์” (King of Kings) ผ่านทะเลทรายร้อนระอุไพศาลนับหมื่นนับพันไมล์ เพื่อนำสิ่งมีค่ามาบรรณาการแด่การถือกำเนิดอันยิ่งใหญ่  แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาพบเมื่อรอนแรมมาถึงเมืองเบธเลเฮมคือ พระกุมารน้อยที่ประสูติในคอกสัตว์แสนต่ำต้อยแทนที่จะเป็นเวียงวังอันเลิศหรู  ท่ามกลางเหตุการณ์พลิกผันและกลับตาลปัตรเช่นนี้ เหล่าเมธีอาวุโสกลับคลี่ห่อของขวัญอันได้แก่

ทองคำ(gold) กำยาน (frankincense) และมดยอบ (myrrh) ออกมาสักการะพระกุมารและมารดา  ของขวัญที่แท้มิใช่สิ่งที่อยู่ในห่อผ้า แต่คือการยอมรับและความกล้าหาญ ยอมรับอะไร? ยอมรับในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ยอมจำนนต่อความมหัศจรรย์โดยเต็มใจละทิ้งตรรกะ สามัญสำนึกและระบบคิดที่พึ่งพาการใช้เหตุผลทั้งปวงด้วยความกล้าหาญที่อาจต้องแลกมาด้วยชีวิต ในเวลานั้นคำพยากรณ์เรื่องกำเนิดหนึ่งกุมารที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมโลกได้ระบาดไปทั่ว กษัตริย์ใจร้ายนามเฮรอด (King Herod)  เกรงกลัวการสูญเสียอำนาจเป็นอย่างยิ่ง จึงออกคำสั่งให้ตามหาทารกน้อยนี้เพื่อกำจัดทิ้งอย่างบ้าคลั่ง (การสั่งฆ่าทารกเพศชายในเขตเบธเลเฮมและบริเวณใกล้เคียงต่อมารู้จักกันในนาม The Massacre of the Innocents) โหราจารย์จากตะวันออกเจตนาขัดคำสั่งกษัตริย์เฮรอด โดยไม่กลับไปแจ้งข่าวเรื่องพระกุมาร และได้ช่วยให้ครอบครัวเล็กๆ หลบหนีการตามล่าไปอยู่ ณ สถานที่ปลอดภัยในอียิปต์

 

อา! คริสต์มาสจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับของขวัญ ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากของขวัญ

ของขวัญที่แท้มาจากหัวใจ ห่อหุ้มด้วยศรัทธา และผูกเชือกแห่งความรัก

ของขวัญชนิดนี้เท่านั้น จึงก่อให้เกิดความมหัศจรรย์และปาฏิหาริย์

ของขวัญชนิดนี้เท่านั้นที่ค้ำจุนและหล่อเลี้ยงวิญญาณ

เพราะแรงสั่นสะเทือนแห่งรักเปลี่ยนแปลงและยกระดับผู้ให้พอๆ กับผู้รับ

ของขวัญจากพระเจ้า ของขวัญจากมารีย์ ของขวัญจากโจเซฟ

ของขวัญจากทูตสวรรค์ ของขวัญจากพระกุมาร ของขวัญจากเด็กเลี้ยงแกะ

ของขวัญจากภรรยาเจ้าของโรมแรม ของขวัญจากโหราจารย์ตะวันออก

ความรักไร้เงื่อนไข การสลายอัตตาตัวตน ความไว้ใจ ความศรัทธา ความเชื่อมั่น

ความโล่งใจ ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความเอื้อเฟื้อ ความเมตตา น้ำใจ การยอมรับ

การให้อภัย โอกาส ความหวัง และความกล้าหาญ

การให้ของขวัญเหล่านี้โดยไม่หวังผลตอบแทนคือความมหัศจรรย์

การเปิดใจรับของขวัญด้วยศรัทธา คารวะ และรู้คุณ คือปาฏิหาริย์

***คริสต์มาสคงไม่ใช่คริสต์มาส หากปราศจากของขวัญ***

หน้าที่ 4/4