เส้นทางข้ามคาบสมุทรที่ ‘คอคอดกระ’ จากการสำรวจ
เส้นทางติดต่อของอารยธรรมโบราณที่เข้ามาพร้อมกับพ่อค้า-นักเดินทางระยะไกล ที่นำร่องรอยความเชื่อทางพุทธศาสนาเข้ามาด้วยในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่ชาวอนุทวีปรู้จักกันในนาม "ดินแดนสุวรรณภูมิ"
เส้นทางข้ามคาบสมุทรที่ ‘คอคอดกระ’ จากการสำรวจ
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
เส้นทางข้ามคอคอดกระ คาบสมุทรไทยในภาพรวม
เส้นทางติดต่อของอารยธรรมโบราณที่เข้ามาพร้อมกับพ่อค้า-นักเดินทางระยะไกล ที่นำร่องรอยความเชื่อทางพุทธศาสนาเข้ามาด้วยในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่ชาวอนุทวีปรู้จักกันในนามดินแดนสุวรรณภูมิ ในยุคสมัยที่เรียกกันทั่วไปว่ายุคเหล็กหรือปัจจุบันกล่าวได้ว่าคือยุคสุวรรณภูมิ ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาราวพุทธศตวรรษที่ ๑-๗ โดยช่วงเวลาที่ถือว่ามีกิจกรรมการผลิตและขนส่งสินค้ากับผู้คนหลากหลายทั้งจากทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย และมีการอยู่อาศัยมากที่สุดอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒-๗ [4th BC.-2nd AD.], [Berenice Bellina, 2017]. บริเวณที่พบหลักฐานชัดเจนคือแถบที่ถูกเรียกว่า ‘คอคอดกระ’ [Kra Isthmus] ที่อยู่บริเวณตั้งแต่ต้นน้ำกระบุรีไปจนถึงแนวอ่าวบ้านดอนและปลายสุดของพื้นที่จังหวัดระนองในอำเภอสุขสำราญ หรือในตำแหน่งของแผนที่ราว ๑๐ องศาเหนือ ๔๕ ลิปดา จนถึง ๙ องศาเหนือ ๒๐ ลิปดา บริเวณนี้อยู่ในอาณาบริเวณ ‘คาบสมุทรไทยตอนบน’ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทยสมควรเรียกว่า ‘คาบสมุทรไทย’ หรือ ‘คาบสมุทรสยาม’ มากกว่าชื่อทางการว่า ‘คาบสมุทรมลายู’ ซึ่งพื้นที่ต่อเนื่องทางใต้ลงไปและถูกเรียกขานเช่นนี้ตลอดมา
จากข้อมูลการสำรวจในพื้นที่และข้อมูลสำรวจแหล่งโบราณคดีพื้นฐานของสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช (กรมศิลปากร, รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ชุมพร เล่ม ๑, ๒๕๕๗) สามารถกำหนดเส้นทางเชื่อมแหล่งชุมชนเมืองท่าภายในขนาดใหญ่ทั้งสองฝั่งสมุทร โดยการศึกษาครั้งนี้แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม กำหนดแยกออกเป็น ๔ เส้นทาง กลุ่มละ ๒ เส้นทาง โดยมีชุมชนในระดับเมืองซึ่งเป็นทั้งแหล่งผลิตสินค้า การอยู่อาศัยถาวร ตั้งอยู่บริเวณลำน้ำด้านในในระยะห่างชายฝั่งทะเลที่สามารถเดินทางได้สะดวกทั้งทางทะเลและการเดินทางข้าม ‘คอคอด’ [Isthmus] ถือเป็นชุมชนภายในห่างชายฝั่งทะเลซึ่งมีทั้งท่าเทียบเรือ, โกดังสินค้า, ชุมชนหัตถกรรมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนหลากหลายที่มา, พื้นที่เพาะปลูกอาหาร
ซึ่งการขุดค้นทางโบราณคดีระบุว่ามีการใช้เวลาอยู่ในพื้นที่เดิม (กรณีเขาสามแก้ว) ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐-๖๐๐ ปี และในช่วงเวลานั้นปรากฏแหล่งพำนักกึ่งถาวรปรากฏอยู่ในเส้นทางติดต่อในพื้นที่และบริเวณใกล้ชายฝั่งระหว่างคาบสมุทรอีกหลายแห่ง เป็นโครงข่ายแหล่งโบราณคดีแบบต่างๆ ที่เป็นแหล่งพำนักถาวรและกึ่งถาวรอีกมากมายในพื้นที่คอคอดกระในคาบสมุทรไทยตอนบนนี้
เส้นทางทั้ง ๔ สาย ได้แก่
กลุ่มแรก (เส้นทางที่ ๑ และ ๒) ที่มีเมืองศูนย์กลางรวมผู้คนจากแดนไกลและเป็นเมืองท่าชายฝั่งในระยะแรกเริ่ม คือที่ ‘เขมายี้’ ฝั่งอันดามัน และ ‘เขาสามแก้ว’ ฝั่งอ่าวไทย โดยเห็นชัดเจนว่าเขาสามแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ลานตะพักลำน้ำ [Stream Terrace] ของคลองท่าตะเภา
บริเวณชายฝั่งทะเลของเมืองชุมพรมีพื้นที่ราบชายฝั่งที่ต่อเนื่องกับเทือกเขาตะนาวศรีและเทือกเขาภูเก็ตอยู่ในระยะราว ๑๕-๓๐ กิโลเมตรโดยประมาณ และมีเส้นทางน้ำสำคัญของพื้นที่นี้ ๓ สายที่ไหลออกสู่ทะเลในบริเวณต่างๆ คือ ‘คลองชุมพร’ ที่มีต้นน้ำจากเทือกเขาภูเก็ตในตำบลปากจั่น จังหวัดระนอง ไหลขนานไปกับถนนเพชรเกษม ที่เป็นการสร้างเลียบแนวทางเส้นทางโบราณที่ใช้ข้ามคอคอด-กระไปสู่ชุมชนชายฝั่งทะเลอันดามัน ไหลผ่าน ‘เขาถล่ม’ ที่มีรายงานการพบโบราณวัตถุตามถ้ำเพิงผา ไปยังเทศบาลขุนกระทิง ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ไหลออกทะเลที่อ่าวคลองสวีเก่าและคลองวิสัย ที่ตำบลทุ่งคา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร มีความยาวราว ๕๐ กิโลเมตร
บริเวณนี้เป็นอ่าวโคลนหรือทะเลตมขนาดใหญ่ มีการตั้งถิ่นฐานน้อยกว่าทางปากน้ำท่าตะเภาด้วยเป็นป่าชายเลนเสียมาก ย่านเมืองเก่าของชุมพรโดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาอยู่ทางพื้นที่ฝั่งตะวันตกของลำคลองชุมพร ก่อนที่จะเปลี่ยนการจัดการพื้นที่ในสมัยที่เป็นมณฑลเทศาภิบาลในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) เลือกที่ตั้งว่าการมณฑลที่ริมคลองท่าตะเภาและการติดต่อผ่านทางคลองท่าตะเภามีอ่าวขนาดพอดีที่เกาะเสม็ดที่หลบลมของเรือเลียบชายฝั่งได้ และมีเกาะมัตโพนขนาดเล็กที่ปากน้ำ และมีชายหาดทรายต่อเนื่องผ่านเขามัทรีที่เป็นแนวปะการังไปที่หาดทรายรีที่มีเกาะต่างๆ บังคลื่นลมได้ดี การเลือกใช้ลำน้ำท่าตะเภาจึงเป็นการเคลื่อนจากที่ตั้งของเมืองชุมพรเดิมให้มีความสะดวกสำหรับการเดินทางจากปากน้ำเข้าสู่แผ่นดินภายใน
แผนที่เมืองท่าชายฝั่งอ่าวเบงกอล อนุทวีปอินเดีย แสดงที่ตั้งเมืองท่า ศูนย์กลางทางพุทธศาสนา
และศูนย์กลางทางการค้าที่มักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน บริเวณรัฐโอดิสาและรัฐอานธรประเทศ
ในช่วงสมัยประวัติศาสตร์ของอินเดียที่เริ่มตั้งแต่ระหว่าง ๒,๕๐๐-๒,๑๕๐ ปีมาแล้ว
ส่วน ‘คลองท่าตะเภา’ มีต้นน้ำจากบริเวณแนวเทือกเขาตะนาวศรี ต้นน้ำมาจากลำน้ำในเทือกเขาต่างๆ ที่ไหลลง ‘คลองรับร่อ’ ที่เป็นชื่อของคลองท่าตะเภาที่อยู่บริเวณภายในติดกับแนวเขา บริเวณนี้เป็นปลายสุดของแนวเทือกเขาตะนาวศรีที่ต่อกับเทือกเขาภูเก็ต พื้นที่จึงเป็นที่รับน้ำจากฝั่งเขาตะนาวศรีด้านในที่เป็นพรมแดนติดต่อกับสหภาพเมียนมา ลำน้ำจึงมีมาก ไหลแรงในช่วงฤดูน้ำ ลำน้ำแยกสายออกจากคลองท่าตะเภาทางตอนใต้ของบ้านสามแก้วคือ ‘คลองพนังตัก’ ที่ไหลออกสู่ทะเลที่อ่าวพนังตักซึ่งเป็นอ่าวเล็กๆ ชายหาดทรายแผ่กว้างและอ่าวตื้น เงียบสงบ เพราะมีแหลมคอกวางกันคลื่นลม จึงมีชุมชนชาวประมงขนาดเล็กๆ โดยมาก มี ‘แหลมคอกวาง’ ที่มีเกาะปะการังกั้นระหว่างอ่าวพนังตักและหาดทรายของอ่าวทางปากน้ำท่าตะเภา
ตำแหน่งที่ตั้งของวารี-บาเตชวาร์ บริเวณลุ่มน้ำพรหมบุตรเก่า
ใกล้กรุงตักกา ในบังกลาเทศ
ใน ‘พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อง เสด็จประพาสแหลมมลายู’ ทรงพระราชาธิบายเรื่อง การเดินทางข้ามคาบสมุทร ไว้ว่า จากปากน้ำชุมพรเข้ามาถึงคลองท่าตะเภา จากจุดนี้ (บริเวณบ้านปากแพรก หน้าวัดปากแพรกแยกไปทางขวา) มีลำน้ำ (คลองท่าแซะ) แยกไปทาง ‘ท่าแซะ’ ไปยัง ‘ปะทิว’ ที่มีเหมืองแร่ดีบุกและทองคำและเดินทางไปยังบางสะพานได้
ส่วนทางซ้ายไปทาง ‘คลองรับร่อ’ ไปต่อกับแนวเขาที่กั้นเมืองกระ ส่วนลำน้ำอีกสาย ที่ใกล้กับ ‘คลองท่าตะเภา’ เรียกว่า ‘คลองชุมพร’ ปลายน้ำออกปากอ่าวสวีเก่า ส่วนต้นน้ำไปถึงแนวสันปันน้ำที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของหินสลักพระปรมาภิไธย จปร. จากนั้นใช้เรือไปยัง ‘คลองกระลี้’ หรือ ‘คลองหลีก’ ไปยัง ‘ลำน้ำจั่น’ ที่ปากจั่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองกระโบราณ ผ่านตำบลน้ำจืดริมคลองกระซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่และเป็นที่ตั้งของอำเภอกระบุรี จนถึงปากคลองพระขยางและปากคลองเขมาที่อยู่ตรงข้ามกัน ส่วนปากคลองเขมายี้เป็นลำน้ำอยู่แถวกลุ่มเกาะกลางลำน้ำกระที่เกาะขวาง แถบละอุ่น และเสด็จต่อไปยังปลายแหลมเกาะสองก่อนข้ามปากน้ำกระเข้าเมืองระนอง
ในพระราชนิพนธ์ดังกล่าวทำให้เห็นภาพร่างของการเดินทางเพื่อ ‘ข้ามคอคอดกระ’ ซึ่งแนวคิดของชาวตะวันตกที่ต้องใช้เส้นทางเดินเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งคาบสมุทรและหมู่เกาะมีแนวคิดเรื่องการข้ามคอคอดกระนี้มาโดยตลอด จากแผนที่เก่าของชาวตะวันตกโดยเฉพาะแผนที่ พ.ศ. ๒๓๖๓-๒๓๗๒ ของคณะทูตจอห์น ครอเฝิร์ด ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงรายละเอียดในเส้นทางข้ามคาบสมุทรที่คอคอดกระ โดยเขียนข้อมูลลงในแผนที่ว่า เส้นทางจากลำน้ำกระบุรีถึงปากน้ำชุมพรระบุว่า ใช้เวลาเดินทางในสมัยนั้นราว ๔ ชั่วโมงเท่านั้น และน่าจะเป็นการเดินทางบกที่ใช้ช้างจากเมืองชุมพรผสมผสานกับการเดินทางน้ำแบบล่องแก่งในส่วนของสันปันน้ำทางตะวันตกแถบเมืองระนองตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชาธิบายข้างต้น
โดยไม่ใช้คลองชุมพรเก่าที่น่าจะไม่สะดวกทั้งการเดินทางสู่ต้นน้ำและการเดินทางออกสู่แนวชายฝั่งทะเลเมื่อเทียบกับลำคลองท่าตะเภาที่น่าจะมีการใช้งานในเส้นทางนี้มานานเมื่อย้อนเวลาไปถึงการเดินทางข้ามคาบสมุทรยุคแรกในสมัยสุวรรณภูมิในระยะเวลาที่ห่างกันกว่าสองพันปี
จากแนวทางดังกล่าว เมื่อทำการสำรวจพื้นที่และร่องรอยของการตั้งถิ่นฐานจากข้อมูลการศึกษาทางประวัติศาสตร์โบราณคดีนานาชาติและรายงานการสำรวจทางโบราณคดีในบริเวณคาบสมุทรไทย ทำให้มีสมมติฐานของ ‘เส้นทางการเดินทางข้ามคาบสมุทรบริเวณคอคอดกระ’ ในเบื้องต้นดังต่อไปนี้
เส้นทางที่ ๑. เขมายี้-เขาสามแก้ว
หากเดินเรือเลียบชายฝั่งมาจากอ่าวเบงกอลจากอนุทวีปอินเดีย เพื่อมีวัตถุประสงค์ไปยังดินแดนสุวรรณภูมิหรือทางทะเลจีนใต้และดินแดนทางตะวันออกในยุคเริ่มแรก มีข้อสันนิษฐานจากนักวิชาการจากอินเดีย เช่น [Sila Tripati, L. N. Raut, 2006. และ Duraiswamy Dayalan, 2019] ศึกษาเส้นทางเดินเรือเก่าและระบบลมตามธรรมชาติที่ช่วยพัดพาเรือสินค้าจากชายฝั่งอ่าวเบงกอล เช่น โอริสสา อานธรประเทศ ทมิฬนาดูรวมทั้งเกาะศรีลังกามาสู่ดินแดนนี้โดยระบบลมในโลกนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานับหลายล้านปี
ชาวเรือที่เดินทางมาจากแถบ ‘แคว้นกลิงคะหรือรัฐโอริสสา’ ในปัจจุบันซึ่งชื่อใหม่คือ โอดิชา [Odisha] ในลุ่มน้ำมหานที [Mahanadi River] ไปจนถึงแคว้นอานธรประเทศ [Andhra Pradesh] โดยมีแม่น้ำกฤษณาและแม่น้ำโคทาวารี [Krishna and Godavari River] เป็นเส้นน้ำและการผลิตอาหารสำคัญ มีต้นน้ำอยู่ทางตอนกลางของอินเดียที่รัฐมหาราษฏระ และแถบนี้มีเมืองท่าชายฝั่งทะเลที่ทำการรับส่งสินค้ามาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
เมื่อใช้การเดินเรือเลียบชายฝั่งขึ้นไปทางเหนือผ่านแคว้นกลิงคะสู่อ่าวเบงกอลในเขตแคว้นเบงกอลตะวันออกหรือในประเทศบังคลาเทศปัจจุบัน ผ่านแหล่งโบราณคดีสำคัญในยุคร่วมสมัยกันบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำพรหมบุตรที่ ‘วารี-บาเตตชวาร์’ [Wari-Bateshwar] ซึ่งอยู่ในลุ่มสาขาของแม่น้ำพรหมบุตรเก่า
หากเดินเรือเลียบชายฝั่งต่อเนื่องมาทางชายฝั่งอาระกันทางตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณนี้คือแคว้นอาระกันที่มีชื่อมาจากเทือกเขาอาระกันโยมาซึ่งกั้นดินแดนพม่าส่วนในจากบริเวณนี้หรือต่อมาเมื่อพม่ายึดครองได้ทั้งหมดจึงเป็นรัฐยะไข่โบราณ แคว้นอาระกันคืออาณาบริเวณที่เติบโตขึ้นมาจากชาวอนุทวีปและมีความสัมพันธ์กับทางแคว้นเบงกอลตะวันตกและตะวันออก โดยพุทธศาสนาที่เป็นแบบแผนเข้าสู่ดินแดนอาระกันก่อนที่อื่นๆ ในพม่า (ราวพุทธศตวรรษที่ ๘-๙) แต่ก็ยังไม่มีรายงานพบหลักฐานร่องรอยในช่วงต้นพุทธกาลเช่นเดียวกับทางวารี-บาเตตชวาห์
จากนั้นเดินทางเลียบจนถึงปลายแหลมของอ่าวเมาะตะมะ ตัดข้ามอ่าวบริเวณนี้เพื่อจะหาทางตัดข้ามแผ่นดินหรือคาบสมุทรเดินทางมุ่งขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อมุ่งสู่ท่าเรือของดินแดนตะวันออกในบริเวณชายฝั่งทางจีนตอนใต้หรือรอบอ่าวตังเกี๋ยต่อไป ซึ่งการค้นพบ ‘บริเวณคอคอดกระ’ คือการเดินทางสำรวจจนพบเส้นทางการเดินทางผ่านบริเวณที่แคบที่สุดของคาบสมุทรและสะดวกมากกว่าเส้นทางอื่นๆ โดยลัดเลาะไปตามลำน้ำสายต่างๆ ของปลายเทือกเขาตะนาวศรีต่อกับเทือกเขาภูเก็ต
เส้นทางคลองภายในและพบโบราณวัตถุริมคลองและชิ้นส่วนแท่นหินที่มีสัญลักษณ์ลวดลาย
เช่น นันทิยาวัตตะ หรือตรีรัตนะ
และการค้นพบเส้นทางเหล่านี้ นำไปสู่การตั้งสถานีการค้าหรือความเป็นชุมชนเมืองท่าขนถ่ายสินค้าและรวมถึงการผลิตที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มต้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบ ‘เอมโพเรีย’ แบบกรีก-โรมันหรือสถานีการค้าและเมืองท่าขนาดใหญ่ในระยะแรกเริ่ม [Early Emporia / Early Entrepôt] ในพื้นที่ระหว่างแหล่งอารยธรรมตะวันตก-ตะวันออก โดยมีการเดินทางข้ามคาบสมุทรในบริเวณนี้ต่อเนื่องยาวนานไม่ต่ำกว่า ๕๐๐-๖๐๐ ปีทีเดียว
เมื่อตัดข้ามอ่าวเมาะตะมะของเมียนมา เส้นทางมุ่งลงตะวันตกเฉียงใต้ไปสู่แนวชายฝั่งอันดามันของคาบสมุทรไทย โดยผ่านกลุ่มหมู่เกาะมะริดของเมียนมาที่มีเกาะน้อยใหญ่จำนวนมากไล่ระเรื่อยลงมาจนถึงปลายแหลมที่เกาะสองและเรื่อยลงมาจนถึงหมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิลันในเขตประเทศไทย ตรงบริเวณเหนือเกาะสองไม่ไกลนักมีอ่าวที่เรียกเป็นภาษามลายูว่า Talok Babai หรืออ่าวพ่อหรืออ่าวใหญ่ ซึ่งเป็นชายฝั่งที่เดินทางเข้าสู่ ‘เมืองมะลิวัลย์’ ได้ เหนืออ่าวใหญ่ขึ้นไปทางเหนือราว ๑๐ กิโลเมตรเป็นหาดทรายปนหาดชายเลน และมีเส้นทางเข้าสู่ ‘คลองอินู’ หรือ ‘สุไหงอินู’ [Sugei I-Nu] ที่เป็นภาษามลายูเช่นกัน มีความหมายว่าคลองหนุ่มหรือคลองเล็ก เพื่อเดินทาง เข้าสู่ ‘คลองเขมา’ คำเก่าในอาณาบริเวณนี้ยังใช้ชื่อภาษามลายูเป็นชื่อเก่าปนกับคำไทย และมีชื่อภาษาพม่าในชื่อสถานที่ต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นใหม่
เส้นทางคลองภายในและพบโบราณวัตถุริมคลองและชิ้นส่วนแท่นหินที่มีสัญลักษณ์ลวดลาย
เช่น นันทิยาวัตตะ หรือตรีรัตนะ
เส้นทางในกลุ่มแรกของการข้ามคอคอดกระ เส้นที่ ๑
‘บ้านเขมา’ น่าจะเป็นชุมชนดั้งเดิมทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำกระ เคยอยู่ในดินแดนสยามมาก่อนการแบ่งดินแดนสมัยอังกฤษเข้ายึดครองพม่าเป็นอาณานิคม เชื่อ ‘เขมา’ น่าจะมาจากคำไทยที่รับเขมรมาอีกต่อหนึ่ง เป็นชื่อต้นไม้เป็นพืชยืนต้นที่เรียกว่าต้นเขมาหรือชะเมาหรือต้นหว้าดงที่พบในแถบคาบสมุทรไม่น้อย รวมทั้งทางป่าเขาในภาคตะวันออก ที่ตั้งของบ้านเขมาเก่าอยู่ในตำแหน่งที่อยู่เชิงเขาและกึ่งกลางแผ่นดินระหว่างชายฝั่งอันดามันและแม่น้ำกระ กล่าวว่าพบแหล่งผลิตอยู่ริมลำน้ำขึ้นไปจนถึงบ้านเขมา พบหลักฐานทางโบราณคดีสำคัญมากมาย ซึ่งปัจจุบันเป็นย่านที่ทำการปกครอง เขต ‘เขมายี้’ อยู่ในดินแดนของสาธารณรัฐเมียนมาที่มีการจัดการพื้นที่ใหม่แล้ว
จากบริเวณนี้ น่าจะใช้เส้นทาง ‘คลองเขมา’ แยกขึ้นเหนือไปต่อกับ ‘คลองพลูนาง’ และมี ‘คลองน้อย’ ที่ไปออก ‘ลำน้ำกระ’ ข้ามลำน้ำกระบริเวณนี้ได้ไม่กว้างและลึกเท่าแถบปลายน้ำไปยัง ‘ปากจั่น’ หรือบริเวณลำน้ำหลักต่อกับลำน้ำจั่นและบริเวณใกล้ๆ กัน ลำน้ำจั่นลงลำน้ำกระ ในอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง บริเวณนี้ที่ ‘ปากจั่น’ เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญอีกแห่งที่พบหลักฐานร่องรอยลูกปัดแก้วสีเดียว (อินโด-แปซิฟิก) ลูกปัดหิน (คาร์เนเลียนและอาเกต) และเครื่องประดับทำจากทองในกลุ่มแบบยุคสุวรรณภูมิ นอกจากนั้น ยังพบเศษภาชนะดินเผาทั้งเนื้อดินและเนื้อแกร่ง ซึ่งบริเวณนี้มีการทับถมในหลายยุคสมัยนั่นเอง
จากนั้นใช้คลองกระขึ้นไปทางต้นน้ำซึ่งมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน เช่น ‘คลองกรัง’ ที่ต้องข้ามสันปันน้ำเขาปลายคลองหินเภาที่อยู่ในเขตเทือกเขาตะนาวศรีตอนใต้สุด ลงสู่ ‘คลองทรายอ่อน’ ซึ่งไปสบกับ ‘คลองมะละ’ บริเวณสำนักสงฆ์คลองหินเข้ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่นี้มีผู้คนอยู่อาศัยไม่น้อยและเรียกว่า ‘บ้านโป่งเงาะ’ อยู่ในเขตตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร บนเนินที่สูงริมลำคลองมะละพบโบราณวัตถุพวกเศษภาชนะดินเผาเนื้อดินแบบก้นกลม เศษภาชนะแบบลายเชือกทาบ แท่นรองภาชนะทรงพาน และเศษภาชนะแบบสีดำขัดมันรวมทั้งขาภาชนะแบบหม้อสามขา ขวานหินขัดขนาดตั้งแต่ ๘.๒-๑๘ เซนติเมตร จำนวน ๒-๓ ชิ้น
บริเวณนี้น่าจะมีการตั้งถิ่นฐานร่วมสมัยกับยุคเหล็กหรือยุคสุวรรณภูมิ เพราะพบเศษภาชนะแบบสีดำขัดมันและพบขาภาชนะแบบสามขาและขวานหินขัดขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงถึงการใช้เครื่องมือขุดแร่และอาจมีการร่อนแร่ในพื้นที่ราบชายฝั่งน้ำ ขาภาชนะแบบหม้อสามขานั้นมักพบร่วมกันกับขวานหินขนาดใหญ่ในพื้นที่ป่าเขาและเพิงผาถ้ำภายใน (กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช สำรวจ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓, หมายเหตุว่าในปัจจุบันเมื่อเข้าไปสำรวจในพื้นที่ไม่พบว่ามีบุคคลท่านใดในสำนักสงฆ์และชาวบ้านรอบๆ ไม่ทราบเรื่องการพบโบราณวัตถุแต่อย่างใด)
ส่วน ‘คลองกระใน’ ไหลลงคลองกระเช่นกันซึ่งต้องข้ามแนวสันปันน้ำเพื่อต่อกับ ‘คลองพันวาน’ ที่ไหลลง ‘คลองรับร่อ’ ที่อยู่ทางด้านเหนือห่างจากแนว ‘คลองมะละ’ ที่สบกับคลองรับร่อไปอีกราว ๕-๖ กิโลเมตร ยังไม่พบว่ามีรายงานแหล่งโบราณคดีในช่วงยุคร่วมสมัยกับสมัยสุวรรณภูมิในขณะนี้ บริเวณตั้งแต่ปากจั่นขึ้นมายังต้นน้ำกระและลำน้ำที่ไหลลงคลองกระทั้งคลองกรังและคลองกระในล้วนอยู่ในสันปันน้ำ [Watershed] ของแนวเทือกเขาภูเก็ตด้านเหนือสุด ต้นน้ำของ ‘คลองรับร่อ’ บริเวณเขาพระเจ้า สันปันน้ำซึ่งเป็นส่วนปลายสุดของเทือกเขาตะนาวศรี
เขาตาพลาย บริเวณที่พบหลักฐานทางโบราณคดีที่ทำให้เห็นภาพของชุมชนกึ่งกลางคาบสมุทร
การศึกษาในครั้งนี้ได้เห็นพื้นที่ แนวทางลำน้ำรวมทั้งหลักฐานร่องรอยทางโบราณคดี จึงสันนิษฐานว่า การเดินทางข้ามคาบสมุทรหรือการเดินทางติดต่อไปยังบริเวณเขาสามแก้วริมคลองท่าตะเภาในอำเภอเมือง จังหวัดชุมพรนั้น น่าจะใช้เส้นทางตามแนว ‘คลองมะละ’ ซึ่งเส้นทางน้ำนี้ไหลในแนวตะวันตก-ตะวันออก โดยไหลลงในทิศทางตะวันตกเฉียงใต้สู่คลองรับร่อที่ไหลในแนวเหนือ-ใต้ในระยะทางราว ๑๐-๑๕ กิโลเมตรจากบริเวณแหล่งโบราณคดีสำนักสงฆ์เขาหินเข้ โป่งเงาะ ซึ่งเป็นที่น้ำสบของคลองทรายอ่อนและคลองมะละ กลายเป็นคลองมะละไหลลงสู่ลำน้ำรับร่อ โดยมาตามลำน้ำรับร่ออีกราว ๑๙-๒๐ กิโลเมตร จนถึงบริเวณตำบลรับร่อ ซึ่งบริเวณนี้ทางใต้เป็นที่ตั้งของ ‘เขาตาพลาย’
ภายในถ้ำที่ฝังศพมนุษย์ซึ่งยังคงมีการดำเนินงานขุดค้นทางโบราณคดี โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช
เศษภาชนะดินเผาลายประทับแบบกดจุดและทำลวดลายชีดเป็นเส้นคดโค้งแบบที่เรียกว่า 'ซ่าหวิงก์-คาลานาย'
(Sa Huynh-Kalanay Style Pottery) พบที่ถ้ำเขาตาพลาย ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร1
โดยมีรายงานการสำรวจและการขุดค้นทางโบราณคดี โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช พบแหล่งโบราณคดีแบบชุมชนภายใน ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเชิงเขาที่มีเพิงผาถ้ำหินปูน เช่นที่ ‘เขาตาพลาย’ พื้นที่นี้อยู่ในตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ซึ่งนักโบราณคดีปฏิบัติการผู้ขุดค้นเสนอข้อมูลว่า พบเครื่องมือหินกะเทาะและหินขัด ชิ้นส่วนภาชนะแบบหม้อสามขา และภาชนะรูปทรงต่างๆ แบบเขียนสี รวมทั้งเศษภาชนะดินเผาลายประทับแบบกดจุดและทำลวดลายขีดเป็นเส้นคดโค้งแบบที่เรียกว่า ‘ซ่าหวิงก์-คาลานาย’ [Sa Huỳnh-Kalanay style pottery] ที่มีข้อมูลว่าพบกระจายได้ทั่วไปในระยะนี้ โดยมีความคล้ายคลึงกับที่พบในบริเวณเกาะปาลาวัน [Palawan] ในฟิลิปปินส์ เครื่องปั้นดินเผาแบบฮั่น [Han Dynasty Ceramics] และอื่นๆ อีกมากมาย
พบชิ้นส่วนภาชนะสำริด ใบหอกสำริด เครื่องมือเหล็ก ลูกปัดต่างๆ โดยเฉพาะพบลูกปัดแก้วมากที่สุด รวมทั้งหินอาเกตและคาร์นีเลียนและเปลือกหอย รวมทั้งกระดูกสัตว์จำนวนมาก
โดยเสนอค่าอายุการอยู่อาศัยในยุคแรกที่มีการฝังศพ แต่ยังไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากโลหะหรือกลุ่มลูกปัดและหินกึ่งรัตนชาติต่างๆ ไว้ราว ๔,๑๐๐-๒,๘๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งดูเหมือนเป็นช่วงอายุที่ค่อนข้างห่างไกลมาก ช่วงเวลาในการอยู่อาศัยชั้นต่อมาที่พบเศษภาชนะสำริด เครื่องมือเหล็ก เครื่องปั้นดินเผารูปแบบต่างๆ ลูกปัดต่างๆ ได้ค่าอายุราวๆ ๒,๕๐๐-๑,๘๐๐ ปีมาแล้วหรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑-๗ โดยประมาณ (จุตินาฏ บวรสาโชติ นำเสนอผลงานการศึกษาในงานกิจกรรมบรรยายและเสวนาทางวิชาการเผยแพร่ความรู้โบราณคดีภาคใต้ตอนบน เรื่อง "คาบสมุทรภาคใต้ตอนบนของไทย ข้อมูลใหม่จากหลักฐานโบราณคดี : The recent archaeological discoveries in the upper southern region of Thailand. ๑๔ กันยายน ๒๕๖๔)
แหล่งโบราณคดีที่ถ้ำเขาตาพลายนี้ มีการใช้พื้นที่อย่างต่อเนื่องของผู้คนภายใน [Hinterland] ที่อยู่ในช่วงเดียวกับยุคโลหะหรือช่วงสุวรรณภูมิ ในเขตป่าเขาภายในและอยู่ในเส้นทางเดินทางข้ามคาบสมุทรตอนบนสุดของอาณาบริเวณคอคอดกระในยุคสุวรรณภูมิ อนึ่ง ชาวบ้านโดยรอบเล่าถึงที่มาของชื่อเขาตาพลายว่า มาจากชื่อ ‘เขาตายพราย’ เพราะในอดีตมักจะนำศพของผู้เสียชีวิตโดยการจมน้ำไปไว้ในถ้ำด้วยการใส่โลงไม้ แต่ได้นำออกไปจนเกือบหมดแล้ว เหลือร่องรอยเพียง ๒ โลงที่เขียนบันทึกไว้ที่โลงหนึ่งว่าบรรจุใน พ.ศ. ๒๕๑๒
การตายพรายคือการตายที่ยังไม่ถึงเวลา ด้วยความเชื่อแบบเก่าที่จะนำศพของผู้ตายอย่างผิดปกติแยกไปไว้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือที่มีผู้คนรบกวนน้อย แนวคิดนี้อาจสืบทอดจากแบบแผนโบราณได้ ดังนั้น จึงควรพิจารณาถึงการใช้พื้นที่แบบถ้ำหรือเพิงผาในการฝังศพของผู้คนในบริเวณนี้ในยุคกว่าสองพันปีที่แล้วได้เช่นกัน
ทั้งรูปแบบภาชนะที่ใช้เพื่ออุทิศให้ผู้วายชนม์ที่รับมาจากวัฒนธรรมภายนอกในกลุ่มชาวน้ำหรือกลุ่มผู้เดินทางโดยเรือ [Sea Farers] ไปตามท้องทะเลของคาบสมุทรและหมู่เกาะในทะเลจีนใต้จนถึงเขตติดต่อของมหาสมุทรแปซิฟิคนิยมการประดับตกแต่งผิวภาชนะที่ใช้การกดจุดเพิ่มเติมในลายเส้นเป็นคลื่นหรือการทำรูปเรขาคณิตต่างๆ โดยเสนอข้อมูลว่า บริเวณที่พบภาชนะรูปแบบดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ตามถ้ำและเพิงผาของเขาหินปูนโดยเฉพาะในเขตพื้นที่คอคอดกระ เช่น ที่เขาตาพลาย เขาช่องขุกขัก (เพิงผาฉานทา) เขาน้ำลอด (ถ้ำเสือ) ในเขตอำเภอสวี เขาถ้ำถ้วยที่ปากตะโก เป็นต้น
ส่วนที่พบในบริเวณอื่นๆ เช่น ที่ท่าชนะสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลาและแถบเขาหินปูนแถบชายฝั่งอันดามันในจังหวัดกระบี่ ข้อสังเกตคือบริเวณเหล่านี้สัมพันธ์กับแหล่งพื้นที่ซึ่งมีการแสวงหาแร่ธาตุ เช่นแร่ดีบุกตามลำธารในเขตเทือกเขาต่างๆ ของคาบสมุทร ซึ่งมักปรากฏการใช้ภาชนะแบบหม้อสามขาหลายแห่ง แต่จะมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่ชัดหรือไม่ต้องมีการศึกษาสำรวจให้ชัดเจนมากขึ้น
ส่วนเศษภาชนะสำริด เครื่องมือเหล็ก และลูกปัดทั้งหินกึ่งรัตนชาติหรือแก้วต่างๆ น่าจะเป็นสิ่งของมีค่าที่ถูกนำเข้ามากับพ่อค้านักเดินทาง และมีใช้กันมากมายในยุคร่วมสมัยเดียวกับการค้าที่ศูนย์กลางการผลิตและค้าขายแลกเปลี่ยนทางปลายน้ำใกล้ชายฝั่งทะเลที่มีอยู่ทั้งสองฝั่งสมุทร เมื่อตกทอดจนมาถึงมือของผู้ตั้งถิ่นฐานอยู่ภายในแผ่นดินแล้วจึงกลายเป็นสิ่งของสูงค่า [Prestige goods] ที่กลายมาเป็นสิ่งของล้ำค่าสำหรับผู้คนและชุมชนภายในสำหรับพิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย [Grave goods]
จาก ‘เขาตาพลาย’ เมื่อล่องน้ำตาม ‘คลองรับร่อ’ จนมาถึงปากแพรกที่ลำน้ำท่าแซะลงมาสมทบ จากนี้ไปคลองรับร่อจึงเรียกว่า ‘คลองท่าตะเภา’ บริเวณใกล้เคียงที่ริมคลองชุมพรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขาสามแก้วมาราว ๖ กิโลเมตรที่ ‘เขาถล่ม’ ก็มีรายงานการพบโบราณวัตถุเกี่ยวเนื่องกับสมัยสุวรรณภูมิในถ้ำ เดินทางตามลำน้ำมาทางตะวันออกเฉียงใต้ราว ๒๕ กิโลเมตร จึงถึง ‘เขาสามแก้ว’
ซึ่งเป็นแนวตะพักลำน้ำริมคลองท่าตะเภา ลักษณะเป็นร่องเนินเขา ๓-๔ ร่อง แต่ละเนินประกอบด้วยหินกรวดแม่น้ำและเนินดินพื้นที่โดยรวมราวๆ ๑ ตารางกิโลเมตรหรือราวๆ ๖๐๐ ไร่ ความสูงที่ชายตลิ่งราว ๑๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนความสูงของเนินแต่ร่องเขาราว ๒๐-๔๕ เมตรจากระดับน้ำทะเล และประกอบกิจกรรมแทบจะเต็มพื้นที่ก็ว่าได้ ถือเป็นการเริ่มเกิดขึ้นของนครขนาดใหญ่ทีเดียว เพราะพื้นที่แบบ Citadel เมื่อเทียบกับที่ ‘วารี-บาเตตชวาห์’ ในลุ่มน้ำพรหมบุตรเก่าในบังคลาเทศที่เป็นเมืองท่าแบบเอมโพเรียมีขนาดราว ๐.๔๐ ตารางกิโลเมตร หรือแถบคาบสมุทรยุคต่อมาที่มีขนาดและอาณาบริเวณการทำกิจกรรมในการดำเนินชีวิตเล็กกว่าบริเวณเขาสามแก้วมาก เช่น เมืองรูปสี่เหลี่ยมที่พัทลุงใกล้กับทะเลสาบสงขลาหรือริมคลองจันดีในอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
ประวัติการสำรวจที่เขาสามแก้วมีการทำงานทางโบราณคดีเรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๗ จนเมื่อศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส [CNRS], สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ [EFEO], สำนักวิจัยทางธรณีวิทยาและแร่ธาตุ (ฝรั่งเศส) [BRGM] และคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เริ่มร่วมกันขุดค้นศึกษา (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๒) มีผลสรุปรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๐ [Berenice Bellina, An early port-city between the Indian Ocean and the South China Sea. 2017] มีรายละเอียดข้อมูลมากมาย โดยสรุปถึงผลการขุดค้นว่าเศษภาชนะดินเผาที่ขุดค้นได้เป็นเศษภาชนะจากแดนไกลราวๆ ๒๐% นอกนั้นเป็นภาชนะเนื้อดินธรรมดา
คณะวิจัยโดยเฉพาะเบเลนิส เบลิน่า กล่าวเสนอโดยสรุปว่า เขาสามแก้วคือ ‘ต้นทางของเมืองในระดับสากลที่ต่อมาเรียกว่าเป็นเมืองท่า [Port city] ที่ปรากฏอยู่ทางแถบทะเลจีนใต้’ ชุมชนที่เขาสามแก้วเริ่มตั้งถิ่นฐานตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒–๕ และโดดเด่นอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๕-๗ ในช่วงที่การเดินทางอ้อมแหลมมะละกายังไม่พัฒนาใช้เส้นทางข้ามคาบสมุทร เป็นพื้นที่ผลิตระดับอุตสาหกรรม มีความเป็นชุมชนนานาชาติที่ผสมผสานทั้งช่างฝีมือผู้ชำนาญทั้งศิลปะและเทคโนโลยี มีเครือข่ายเชื่อมโยงในทะเลจีนใต้ การตั้งถิ่นฐานและการสร้างกำแพงล้อมรอบที่เขาสามแก้วทำให้เป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนครรัฐแต่จะเป็นนครเดี่ยวหรือมีเครือข่ายก็ยังไม่ชัดเจน ก่อนลดบทบาทลงเมื่อศูนย์กลางไปอยู่แถบท่าชนะและไชยา
เพราะในแผนที่รุ่นเก่า ปากน้ำชุมพรมีเกาะที่ชื่อ ‘บาเดีย’ [Bardia] ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการเดินเรือในฝั่งอ่าวไทยทั้งที่เลียบชายฝั่งสู่แผ่นดินภายในสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการเดินทางที่มู่งสู่ปลายแหลมญวนในทะเลจีนใต้ที่สามารถเดินทางสู่เอเชียตะวันออกและหมู่เกาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แผนที่สมัยอยุธยาชิ้นหนึ่งเรียกทั้งเกาะทั้งเมืองชุมพรในสมัยอยุธยาว่า ‘บาเดีย’
ต่ำจากบริเวณ ‘เขาสามแก้ว’ มีแพรกน้ำแยกจาก ‘คลองท่าตะเภา’ เรียกว่า ‘คลองพนังตัก’ ไปออกอ่าวขนาดเล็กๆ ที่ชายฝั่งทะเลชุมพร มีระยะทางใกล้กว่าจากแนวคลองท่าตะเภาที่ไปออกปากน้ำท่าตะเภา แต่บริเวณปากน้ำคลองพนังตักไม่มีพื้นที่หลบลมหรือใช้เป็นท่าจอดแวะพักของนักเดินทางทางทะเล ส่วนปากน้ำคลองท่าตะเภามีทั้ง ‘เกาะมัตโพน’ และ ‘เกาะเสม็ด’ ซึ่งอยู่ห่างจากเขาสามแก้วออกไปจนถึงบริเวณปากน้ำราว ๒๓ กิโลเมตรเช่นกัน การตั้งข้อสังเกตจากนักวิชาการทางภูมิศาสตร์มานานแล้วตั้งแต่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า น่าจะเป็นปากน้ำสำคัญของสถานที่ที่เรียกว่า ‘เกาะบาเดีย’
บริเวณที่คลองท่าตะเภาไหลผ่านเขาสามแก้วและสบกับคลองพนังตัก เส้นทางนี้ออกทะเล
ได้ในระยะสั้นกว่าแต่ด้วยปากน้ำพนังตักอยู่ในอ่าวเล็กและมีชายหาดทรายที่ตื้นมาก
ล้ำน้ำเล็กกว่าโดยธรรมชาติเดิม ต่างจากปากคลองท่าตะเภาที่มีปากน้ำกว้างกว่า
กัปตันเยรินี [Colonel CL.E Gerini] หรือพระสารสาสน์พลขันธ์ ผู้เขียนบทความเกี่ยวกับแผนที่ของนักภูมิศาสตร์ปโตเลมี เขียนบทความอธิบายชื่อสถานที่ซึ่ง ‘Pedro Teixeir’ นักเดินทางเมื่อปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ บันทึกไว้และกล่าวถึงข้อมูลของนักเดินเรือชาวฮอลันดา (ใน Narrative of a Residence in Siam. โดย Frederick A. Neale, เขียนปี พ.ศ. ๒๓๘๕ พิมพ์ ปี พ.ศ. ๒๓๙๕) ว่า น่าจะเป็นเอกสารฉบับท้ายๆ ที่ยังคงเรียกเกาะหน้าอ่าวชุมพรว่า ‘ปูโลบาเดีย’ หรือ ‘เกาะบาเดีย’ แบบนักเดินทางชาวตะวันตกยุคแรกๆ เรียกกัน และกัปตันเยรินีสันนิษฐานว่า ‘บาเดีย’ น่าจะเป็นคำมลายูที่ใช้เรียกชื่อ ‘เกาะมาตรา’ แต่กัปตันเยรินีน่าจะเข้าใจผิด เพราะเกาะมาตราอยู่ถัดจากเกาะเสม็ดไกลจากปากน้ำท่าตะเภาเกินไป และ ‘เกาะบาเดีย’ น่าจะหมายถึง ‘เกาะเสม็ด’ ที่ปากน้ำชุมพรมากกว่า คำบรรยายของ เฟดเดอริก เนลลี [Neale] จึงถูกต้อง
แผนที่ของคณะทูต เซอร์จอห์น ครอว์เฟิร์ด พ.ศ. ๒๓๗๑
ลากเส้นการเดินทางบริเวณปากน้ำกระสู่ปากคลองท่าตะเภา
และบริเวณหน้าปากน้ำเมืองชุมพร ก็มีเกาะใหญ่ คือ เกาะบาเดีย ที่ยังเขียน P.Badia2
คำมลายูปรากฏในเส้นทางการเดินเรือเลียบชายฝั่งมากมาย อาจมีนัยยะที่แสดงถึงความชำนาญของชาวน้ำนักเดินเรือ [Sea Farers] ที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรนีเชียน [Austronesian] มีอิทธิพลครอบงำเส้นทางเดินเรือทะเลเลียบชายฝั่งมาก่อนนักเดินเรือสำเภาจากจีนและชาวตะวันตกเนิ่นนาน
ที่ ‘เขาสามแก้ว’ พบการก่อสร้างแนวกำแพงดินเพื่อกันขอบเขตของพื้นที่ พบโบราณวัตถุเกี่ยวกับการผลิตเครื่องทองและลูกปัดจากหินกึ่งมีค่าหลากหลาย โดยเป็นลูกปัดรูปร่างต่างๆ อันเป็นคติความเชื่อของผู้คนจากอนุทวีปในยุคนั้นด้วย ลูกปัดหรือเครื่องประดับที่เกี่ยวเนื่องกับสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาพบที่เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร บางกล้วย จังหวัดระนอง เขมายี้ในสหภาพเมียนมา และที่ท่าชนะ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เช่น ตรีรัตนะหรือนันทิยาวัตตะ ศรีวัตสะ สวัสติกะ พระจันทร์เสี้ยว กลีบดอกไม้ ดอกบัว สิงห์โต ปลาคู่ สังข์ อังกุศ จามร คทา ดาบวัชระ ตรีศูล ฯลฯ
สัญลักษณ์เหล่านี้โดยพื้นฐานคือมงคล ๘ ประการในทางพุทธศาสนา และเป็นแนวคิดที่แบ่งปันในทางสังคมในยุคสมัยต้นพุทธกาลทั้งพุทธ เชน และพราหมณ์ โดยเกี่ยวข้องกับรูปสัญลักษณ์พื้นฐานที่ถูกใช้มายาวนานก่อนหน้านั้นอันแสดงถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นราชามหา-กษัตริย์แห่งศากยวงศ์และสัญลักษณ์แห่งจักรวาทิน ซึ่งอยู่ในช่วงที่การสร้างพุทธสถานไม่นิยมสร้างรูปเคารพคล้ายมนุษย์ แต่จะใช้ระบบสัญลักษณ์แทน ‘องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า’ ที่ปรากฏเป็นรูปสัญลักษณ์การประดับตกแต่งพระสถูปที่สาญจีและพระสถูปที่ภารหุต ในรัฐมัธยประเทศ อินเดีย ที่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓ และต่อเนื่องในช่วงราชวงศ์เมารยะ-ศุงคะและราชวงศ์สาต-วาหนะ
รูปสัญลักษณ์เนื่องในความเชื่อทางพุทธศาสนาจากเครื่องทองและลูกปัดที่ทำจากหินกึ่งรัตนชาติต่างๆ
พบจากเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร, ภูเขาทอง จังหวัดระนอง, ท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
มโหระทึกแบบเฮเกอร์ I พบที่เขาสามแก้ว อำเภอเมืองฯ จังหวัดชุมพร เป็นหนึ่งในมโหระทึกเฉพาะที่พบที่เขาสามแก้ว ซึ่งพบราว ๗ ใบ
โดยมีขนาดย่อมๆ ๒ ใบ ถือว่าเป็นแหล่งที่พบมากที่สุดในบริเวณคาบสมุทรและหมู่เกาะ3
ซึ่งในศาสนาพุทธแบบวัชรยานและมหายานที่เกิดขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ เช่น ในทิเบต จีน และญี่ปุ่นนำระบบสัญลักษณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งปรับไปใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งมงคลทั้งแปดหรือ ‘อัษฏมงคล’ ในภายหลังและปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่งตามวัดวาอาราม รอยพระบาท บ้านเรือน และปราสาทราชวัง โดยเชื่อกันว่า สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๘ เป็นตัวแทนของพระวรกายของพระพุทธเจ้า อันได้แก่ ‘สังข์’ [Conch Shell] สัญลักษณ์ของพระวจนะคือคำกล่าว ‘ดอกบัว’ [Lotus] สัญลักษณ์แห่งการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดคือการหลุดพ้นคือพระชิวหา ‘ธรรมจักร’ [Wheel] คือการแสดงธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าคือพระบาท ‘ฉัตร’ [Paraso] สัญลักษณ์แห่งการปกปักรักษาและเป็นเครื่องหมายของราชามหาษัตริย์ด้วยคือพระเศียร ‘เงื่อนอนันตภาคย์หรือเงื่อนมงคล’ [Endless Knot] คือสัญลักษณ์ของความรู้แจ้งอันไม่มีที่สิ้นสุดคือพุทธสติ ‘ปลาทองคู่’ [Golden Fishes] เปรียบเสมือนพระจันทร์และพระอาทิตย์ของร่างกายมนุษย์ที่ก่อกำเนิดขึ้นในโพรงจมูกทำให้เกิดจังหวะการหายใจเข้าและออกที่เรียกว่า ‘ปราณ’ คือพระเนตรทั้งสองข้าง ‘ธงแห่งชัยชนะ’ [Victory Banner] สัญลักษณ์แห่งการรู้แจ้งคือ พระวรกาย และ ‘แจกันแห่งโภคทรัพย์’ [Treasure Vase] เปรียบเสมือนความสมบูรณ์พร้อมทางด้านจิตวิญญาณคือ พระศอ ต่อมามีการพัฒนามาเป็นมงคล ๑๐๘ ประการ ที่มักปรากฏในรอยพระพุทธบาท เดินทางมาพร้อมกับพ่อค้าและนักเดินทางจากศูนย์กลางทางความเชื่อในเมืองท่าทางพุทธศาสนา ระบบสัญลักษณ์เหล่านี้ถูกผลิตขึ้นที่คาบสมุทรสยามเพื่อส่งออกเป็นสินค้าในดินแดนที่รับพุทธศาสนาด้วย
หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญอีกประการคือ การพบหลักฐานเป็น ‘มโหระทึก’ แบบเฮเกอร์ I ไม่ต่ำกว่า ๕-๖ ใบ แต่ละใบมีขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางหน้ากลองเกือบ ๗๐ เซนติเมตร (หากมีขนาดเกินกว่า ๗๐ เซนติเมตรถือว่ามีขนาดใหญ่) ยกเว้นมีขนาดย่อมๆ ๒ ใบ พบในบริเวณเขาสามแก้วทั้งบนยอดเขาที่สูงที่สุด ยอดเขาแรกๆ ที่ความสูงไม่ต่างจากระดับชายตลิ่งมากนัก และบริเวณที่ราบชายตลิ่งที่ถูกขุดทรายและหน้าดินไปหมดแล้วในปัจจุบัน เป็นต้น อายุโดยเฉลี่ยคือพุทธศตวรรษที่ ๑-๕
ซึ่งคณะทำงานของศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส [CNRS], สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ [EFEO] ขุดค้นเบื้องต้นที่เขาเสก และมีการวิเคราะห์ข้อมูลโบราณคดีจากการตรวจสัดส่วนของโลหะทองแดง [Copper-base archaeometallurgical data] ซึ่งพวกเขาวิเคราะห์ว่า มีการเลียนแบบทำกลองมโหระทึกด้วยลวดลายที่คล้ายคลึงกับมโหระทึกจากเวียดนามตอนเหนือในวัฒนธรรมดองซอนและอาจมีการผลิตเลียนแบบโดยการนำแร่ทองแดงจากการตรวจไอโซโทปของแร่ทองแดงระบุว่าน่าจะนำมาจากแหล่งเหมืองทองแดงเซโปน ใน สวันนะเขต ตอนกลางของประเทศลาว จึงยืนยันไม่ได้แน่ว่ามีการติดต่อโดยตรงกับทางชุมชนผู้คนในวัฒนธรรมดองซอนหรือไม่ หรือกลองใบนี้มีการผลิตขึ้นที่ใด [Thomas Oliver Pryce, Bérénice Bellina. High-tin bronze bowls and copper drums: Non-ferrous archaeometallurgical evidence for Khao Sek's involvement and role in regional exchange systems, 2017]
อนึ่ง มโหระทึกแบบเฮเกอร์ I ที่พบในกลุ่มอาณาบริเวณคอคอดกระนี้ยังมีรายงานว่าพบที่ เขาเสก ในอำเภอหลังสวน บ้านปังหวานที่อำเภอพะโต๊ะ บ้านในหยานที่อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร และทางภูเขาทอง อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนองอีกด้วย
นอกจากนี้ยังพบ ‘ภาชนะแบบสัดส่วนดีบุกสูง’ [High Tin Bronze] ทั้งที่เป็นรูปแบบขันเต็มใบที่มีลวดลายแบบอินเดีย หล่อด้วยโลหะสำริดที่มีส่วนผสมดีบุกในปริมาณสูงโดยเฉลี่ยถึง ๒๓% จึงทำให้สีเนื้อภาชนะคล้ายสีทองและมีความบางเป็นพิเศษ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในการหล่อและผลิต เช่นภาชนะสำริดที่การดุนลวดลายที่เป็นรูปร่างคล้ายกับหญิงชาวอินเดียพบในการขุดค้นทางโบราณคดี พบที่ชุมชนทางฝั่งตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยาคือที่ ‘บ้านดอนตาเพชร’ จังหวัดกาญจนบุรี แถบ ‘เขาขวาก’ จังหวัดราชบุรี ‘ถ้ำองบะ’ จังหวัดกาญจนบุรี ในแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์แบบปลายบ้านเชียงที่โคกคอน จังหวัดสกลนคร บ้านเชียงและบ้านนาดี ในจังหวัดอุดรธานี แสดงถึงการกระจายรูปแบบวัตถุทางวัฒนธรรมเข้าสู่พื้นที่ภายในทั้งทางภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ส่วนในอาณาบริเวณคอคอดกระเนื่องจากมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก จึงพบว่ามีการกระจายไปทั่วทั้งในพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิต เช่นที่เขาสามแก้ว เขาเสก ภูเขาทอง ท่าชนะ ก็ยังพบเศษชิ้นส่วนของภาชนะและภาชนะเต็มใบขนาดเล็กในพื้นที่แหล่งฝังศพที่เป็นเพิงผาถ้ำและในถ้ำด้วย
และคณะของศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส [CNRS], สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ [EFEO] อีกเช่นกันที่นำตัวอย่างของชามสำริดแบบสัดส่วนดีบุกสูงจากเขาเสก ๓ ใบ ไปวิเคราะห์เนื้อของสำริดด้วยวิธีการตรวจสัดส่วนของโลหะทองแดง [Copper-base archaeometallurgical data] พบว่า เป็นชามที่ทำจากแหล่งผลิตในอินเดีย ซึ่งโดยปกติชามสำริดที่มีสัดส่วนดีบุกสูงส่วนใหญ่จะมีธาตุยูเรเนียมปนปกติจะมีแหล่งแร่มาจากทางตะวันออกของอินเดียจากเทือกเขาสิงห์ภูมิในรัฐฌาร์ขันท์ [Singhbhum range of Jharkhan] ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกัลกัตตา แต่ข้อมูลจากเขาเสกทำให้พวกเขาสรุปว่า อาจจะมีต้นกำเนิดจากแหล่งแร่ทองแดงจากหลายแห่งหรือมีการหลอมภาชนะสำริดแล้วขึ้นรูปใหม่ ตัวอย่างบางชิ้นจากเขาสามแก้วน่าจะทำจากเขตเบงกอลตะวันตกและคล้ายกับพบที่ดอนตาเพชร ที่เป็นการผลิตจากการหล่อ ส่วนตัวอย่างจากเขาเสกอาจมีการผลิตขึ้นใหม่จากงานชิ้นเดิม และการพบเบ้าหลอมสำริดที่เขาสามแก้วที่เขาเสกอยู่ในวงเครือข่ายนั้น อาจแสดงให้เห็นว่ามีการใช้ทองแดงจากเซโปน ในลาวตอนกลางก็อาจเป็นได้ [Thomas Oliver Pryce, Bérénice Bellina. High-tin bronze bowls and copper drums: Non-ferrous archaeometallurgical evidence for Khao Sek's involvement and role in regional exchange systems, 2017]
ชิ้นส่วนภาชนะสำริดแบบสัดส่วนดีบุกสูง (High Tin Bronze) พบที่บ้านปังหวาน ริมน้ำพะโต๊ะ อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร
ส่วนภาชนะแบบสีดำขัดมัน [Black polished wares] ทั้งที่เป็นชิ้นส่วนและเต็มใบ แบบภาชนะทรงกลม แบบมีสัน และแบบหม้อก้นกลมคอและไหล่ขัดมันส่วนตัวภายนอกประดับด้วยลายเชือกทาบ และภาชนะตกแต่งโดยใช้วงล้อกดประทับเป็นรู [Rouletted Wares] การตกแต่งผิวด้วยวิธีใช้วงล้อขนาดเล็กมีปุ่มเคลื่อนตัวทำให้เกิดลายเป็นจุดเล็กๆ รูปทรงต่างๆ เป็นภาชนะสูงค่าน่าจะใช้ในกลุ่มผู้นำหรือชนชั้นสูงทางสังคม พบตามแหล่งโบราณคดีในอินเดียบริเวณบังคลาเทศ เบงกอลตะวันตก โอริสสา มหาราชสถาน อุตตรประเทศ พิหาร อานธรประเทศ ทมิฬนาดูและเกาะศรีลังกา กำหนดอายุไว้ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๓-๙
ภาชนะตกแต่งโดยใช้วงล้อกดประทับเป็นรู [Rouletted Wares] ก พบที่เขาสามแก้ว อำเภอเมืองฯ จังหวัดชุมพร
ข-จ พบที่ถ้ำถ้วย ตำบลปากตะโก อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร
นอกจากนี้รูปแบบภาชนะที่สำคัญคือ ภาชนะแบบมีปุ่มด้านใน [Knobbed Wares] พบทั้งแบบดินเผาและสำริด ภาชนะแบบมีปุ่มเช่นนี้แพร่หลายในชุมชนที่นับถือพุทธศาสนาในลุ่มน้ำคงคา ยิ่งเน้นความสัมพันธ์ของพุทธศาสนาและกลุ่มพ่อค้าให้เด่นชัดขึ้นพบที่ ‘ถ้ำเสือ’ อำเภอละอุ่น ‘ภูเขาทอง’ อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนองชายฝั่งอันดามัน และ ‘เขาสามแก้ว’ ชายฝั่งอ่าวไทย จังหวัดชุมพร
ทั้งภาชนะแบบสีดำขัดมันและภาชนะตกแต่งโดยใช้วงล้อกดประทับเป็นรู กำเนิดแถบลุ่มน้ำคงคาเช่นเดียวกันซึ่งน่าจะนำเข้าหรือผลิตเลียนแบบมาจากทางฝั่งอนุทวีป ภาชนะทั้งสองประเภทนี้พบในอาณาบริเวณคอคอดกระหลายแห่ง ภาชนะทั้งสามชนิดถือว่าเป็นภาชนะรูปแบบพิเศษที่ต้องใช้การทำงานแบบช่างฝีมือขั้นสูงกว่าภาชนะดินเผาท้องถิ่นทั่วไป
และสันนิษฐานกันว่าน่าจะใช้สำหรับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาด้วย ซึ่งพบในแหล่งโบราณคดีอินเดียที่มีการตั้งมั่นทางพุทธศาสนา ส่วนในบริเวณ ‘คอคอดกระ’ นั้น ก็น่าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเส้นทางเครือข่ายทางการค้าที่ผ่านทางพ่อค้าทางฝั่งเบงกอลซึ่งนำพามาทั้งวัฒนธรรมทางวัตถุและรูปแบบความเชื่อผ่านทางพ่อค้าและนักบวชที่เดินทางไปมามากกว่า ๕๐๐ ปี ในช่วงต้นพุทธกาล
ส่วนภาชนะรูปแบบกดจุดในลายเส้นคดโค้งหรือซ่าหวิงก์-คาลานาย เครื่องปั้นดินเผาที่สัมพันธ์กับแบบเครือข่ายซ่าหวิงก์-คาลานาย [Sa Huynh-Kalanay-related pottery] นำเข้าหรือผลิตขึ้นใหม่จากวัฒนธรรมของชาวน้ำหรือผู้เดินทางทางทะเลทางฝั่งทะเลจีนใต้ [Sea Farers] พบทั่วไปในพื้นที่ทั้งในบริเวณเขาสามแก้วและถ้ำเพิงผาในเขตพื้นที่ภูเขาหินปูนลูกโดดและเทือกเขาภายใน ภาชนะแบบมีการตกแต่งลวดลายคดโค้งและกดจุดประทับ ซึ่งพบชุดแรกที่เกาะสมุย และพบในแหล่งเขาสามแก้ว เขาเสก ทางฝั่งทะเลอ่าวไทย
ชิ้นส่วนก้นภาชนะสำริดแบบมีปุ่มด้านในพบที่บ้านปังหวาน ริมน้ำพะโต๊ะ อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร (ซ้าย)
ภาชนะดินเผาที่มีปุ่มด้านใน [Knobbed Wares] พบในถ้ำเสือ ตำบลในวง อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง
จากการพิจารณาเห็นว่ารูปแบบลวดลายละเอียดมากขึ้น ภาชนะแบบคาลานายในฟิลิปปินส์และภาชนะแบบซ่าหวิ่งก์แล้วเห็นว่ามีรูปแบบลวดลายที่แตกต่างกัน เพราะแบบคาลานายนั้นคลื่นคดโค้งเป็นแบบที่พบในกลุ่มหมู่เกาะฮาวายและโพลีนีเชียนมากกว่า และลวดลายภาชนะที่พบจากเขาสามแก้วและเขาเสกก็ดูจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมซ่าหวิงก์ของเวียดนามที่มักพบตามลวดลายภาชนะแบบยุคสำริดในแหล่งโบราณคดีภาคกลางของประเทศไทย
อย่างไรก็ตามภาชนะเช่นนี้รวมทั้งการพบ ‘หินหยกไต้หวัน’ รวมทั้งหินหยกจากหมู่เกาะฟิลิปปินส์ที่ใช้ทำเครื่องประดับชี้ว่ามีพ่อค้านักเดินทางที่พูดภาษาตระกูลออสโตรนีเชียนซึ่งเดินทางไปยังเกาะไต้หวัน ‘ถ้ำตาบน’ และ ‘ปาลาวัน’ ในฟิลิปปินส์ ตอนเหนือของเกาะเบอร์เนียว ตอนใต้ของเวียดนาม คาบสมุทรสยามที่เขาสามแก้ว
นอกจากนี้โบราณวัตถุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งทางฝั่งทะเลจีนใต้คือ เครื่องปั้นดินเผาเนื้อดินสมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๘ เป็นแบบเนื้อดินค่อนข้างแกร่งและมีตราประทับลวดลายต่างๆ พบที่ภูเขาทอง ปากจั่น เขาสามแก้ว เขาเสก และท่าชนะ ซึ่งในเอกสารของจีนที่เรียกว่า ‘ฮั่นซู’ [Han Shu] หรือ ‘บันทึกราชวงศ์ฮั่น’ เป็นบันทึกฉบับแรกของจีนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรือจีนในช่วงหลังสมัย ‘จักรพรรดิฮั่น หวูตี่’ ไม่นาน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๕-๘ (การเดินเรืออยู่ในระหว่างช่วง พ.ศ. ๔๓๒ - พ.ศ. ๗๖๓) โดยเรือจีนและชาวเยว่ผู้ชำนาญในการเดินเรือเลียบชายฝั่ง เรือจากราชวงศ์ฮั่นจะออกจากท่าเรือ ‘เมืองซูเหวิน’ [Xuwen] ที่อยู่ปลายสุดของคาบสมุทรเหล่ยโจวในมณฑลกวางตุ้งหรือ ‘เมืองเหอผู่’ [Hepu] ในเขตปกครองตนเองกว่างซี-จ้วง ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งล้วนอยู่ในอาณาบริเวณของอ่าวตังเกี๋ย จากเมืองท่าดังกล่าวเดินทางผ่านทางทะเลจีนใต้ เพื่อไปสู่ ‘หวางจื้อ’ [Huang-chih] ซึ่งสันนิษฐานโดยนักวิชาการส่วนใหญ่ว่าน่าจะเป็น ‘เมืองท่ากันจิ’ [Kan-gi] หรือ ‘กันจิปุรัม’ ในรัฐทมิฬนาดู อินเดียใต้ โดยผ่านอ่าวไทย ไปสู่คาบสมุทรสยาม-มลายู
เศษภาชนะดินเผาค่อนข้างแกร่งแบบฮั่น พบเป็นจำนวนมาก ที่แหล่งท่าชนะ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ในงานศึกษา ‘การค้าทะเลจีนใต้’ [The Nan Hai Trade] โดย 'วัง กงหวู่’ [Wang Gungwu] แม้เขาจะกล่าวว่าไม่สามารถสันนิษฐานชื่อบ้านเมืองตามระยะทางที่เรือเดินทางไปถึงว่าเป็นสถานที่ใดในปัจจุบัน และเขาคิดว่ามันออกจะเป็นเรื่องที่เกินข้อมูลหลักฐานไปมาก จนกว่านักโบราณคดีจะทำงานให้มากขึ้น ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกตตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๑ ว่า ควรให้ความสำคัญกับบริเวณ ‘คาบสมุทรมลายู’ ที่ระบุอย่างชัดเจนว่ามีการเดินทางบกในระยะเวลาการเดินราว ๑๐ วัน โดยมี เซินหลี่ [Shin-li] อยู่ทางชายฝั่งตะวันออก ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือที่อ่าวตังเกี๋ย ๙ เดือน กับ ๒๐ วัน และ ฟู-กัน-ตู-ลู [Fu-kan-tu-lu] อยู่ทางชายฝั่งตะวันตกใช้เวลาเดินทางราว ๒ เดือนจึงจะถึงเมืองท่าชายฝั่งอินเดียใต้ที่กันจี รวมเวลาทั้งสิ้นในการเดินทางจากเมืองท่าในอ่าวตังเกี๋ยถึงอินเดีย ๑๒ เดือนหรือหนึ่งปีพอดี ในช่วงเวลานั้นเป็นยุคสมัยของการเดินทางที่ไม่ใช้การแล่นเรืออ้อมปลายคาบสมุทรเข้าช่องแคบมะละกา [Wang Gungwu. The Nanhai trade : a study of the early history of Chinese., 1956]
ปากคลองท่าตะเภาที่เห็นเกาะมัตโพนด้านใน ซึ่งเวลาน้ำลงแล้วสามารถเดินข้ามได้
เกาะเสม็ดหรือเกาะบาเดียยุคโบราณด้านนอก บริเวณนี้เป็นจุดจอดพักเรือที่ข้ามอ่าวไทยมาตลอด
และอาจเป็นทางเข้าสู่ เซินลี่ [Shin-li] ในจดหมายเหตุฮั่นซู
เส้นทางข้ามคอคอดกระเส้นที่ ๒ ของกลุ่มแรก
เส้นทางที่ ๒. เขมายี้-คลองละอุ่น-ในวง-เขาทะลุ-เขาค่าย-ปากตะโก
จากบริเวณบ้านเขมาเช่นกัน เดินทางลงทางใต้ตามลำ ‘คลองเขมา’ แล้วมาออก ‘ลำน้ำกระ’ ระยะทางราว ๒๐ กิโลเมตร บริเวณนี้ ‘ลำน้ำกระ’ เริ่มขยายตัวเป็นลำน้ำขนาดใหญ่มากเมื่อใกล้ออกปากทะเล ลงมาตามลำน้ำอีกราว ๖ กิโลเมตร ฝั่งตรงข้ามคือ ‘ปากน้ำละอุ่น’ เข้าไปทาง ‘ลำน้ำละอุ่น’ มีปากน้ำขยายใหญ่แล้วจึงแคบลงเรื่อยๆ เมื่อเข้าระยะทาง ๑๘-๑๙ กิโลเมตร แล้วเดินทางไปตามลำน้ำละอุ่นเข้าสู่แผ่นดินภายในที่ความสูงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเดินทางเลียบคลองละอุ่นต่อมาราว ๑๕ กิโลเมตรจนถึง ‘ปากแพรก’ จากบริเวณนี้มีแพรกน้ำแยกไปทางเหนือเดินทางเลียบลำน้ำไปราว ๕ กิโลเมตร ก็จะผ่านสันปันน้ำเพื่อเดินทางไปอีกราว ๑๐ กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณที่เรียกว่า ‘เขาค่าย’ ถึงตรงนี้ก็มีแหล่งโบราณคดีที่อยู่ตามเพิงผาถ้ำ ซึ่งมีโบราณวัตถุร่วมสมัยกับยุคสุวรรณภูมิ พบบริเวณเชิงเขาถ้ำหินปูน ในตำบลเขาค่าย อำเภอสวี จังหวัดชุมพรอีกหลายแห่ง จากนั้นสามารถเดินทางบกไปยังเทือกเขาหินปูนทางฝั่งตะวันตกของแนวเทือกเขาทะลุ ซึ่งพบร่องรอยของแหล่งโบราณคดีที่มีการตั้งถิ่นฐานและมีพิธีกรรมฝังศพบริเวณเพิงผาหน้าถ้ำหลายแห่ง ส่วนบริเวณแนวเขาทะลุนั้นพบร่องรอยบริเวณรอยต่อระหว่างช่องเขาและตามแนวภูเขาหินปูนด้านนอกไปตามแนวเทือกเขาหินปูน เช่นที่เขาค่ายและลำน้ำสาขารวมทั้งลำน้ำสวีอีกหลายแห่งจนถึงบริเวณปากน้ำสวี
แหล่งโบราณคดีในกลุ่มดังกล่าวที่อยู่ในพื้นที่อำเภอสวีตามแนวเทือกเขาหินปูนนั้น พบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีอีกหลายแห่ง มีเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าซึ่งพบร่องรอยของการฝังศพที่มีการอุทิศสิ่งของให้ศพที่เป็นวัตถุทางวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่องกับยุคสมัยสุวรรณภูมิหรือยุคที่มีการใช้เครื่องมือเหล็กแล้ว เช่น ที่เขาค่าย ตำบลเขาค่าย, ถ้ำเสือ ตำบลเขาค่าย, เขาถ้ำห้วยน้ำแดง ตำบลเขาค่าย, เขาถ้ำดิน ตำบลเขาทะลุ, เขาศาลช้างแล่น ตำบลขุนไกร, เขาช่องขุกขัก (เพิงผาฉานทา) ตำบลเขาทะลุ, เพิงผาน้ำลอด เขาน้อย เขาถ้ำช่องเขา เขาจุฬา เขาบ้านกลาง เขาโกรบ เขาแครง ตำบลเขาทะลุ, เขาหลัก ตำบลเขาหลัก, จากนั้นแหล่งโบราณคดีกลุ่มต่อมาที่เป็นถ้ำเขาหินปูนต่างๆ จะอยู่นอกแนวเทือกเขาค่ายและเขาหลักออกมาตามทุ่งทางฝั่งตะวันออกเรื่อยไปถึงชายฝั่งทะเล ถ้ำเขากริม ตำบลน้ำฉา, ถ้ำน้ำลอด ตำบลทุ่งระยะ, เขาตาพล ตำบลทุ่งระยะ, เขานก เขาตาหมื่นนี ตำบลนาสัก, เขาถ้ำตาชี เขากรม บ้านน้ำฉา, ภูเขาทอง ตำบลทุ่งระยะ และกลุ่มเขาหลักที่ใกล้ชายฝั่งทะเลในตำบลครน ทั้งหมดนี้อยู่ในอำเภอสวี จังหวัดชุมพร (สารัท ชลอสันติสุขและคณะ. รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ชุมพร เล่ม ๑, ๒๕๕๗)
แนวเทือกเขา ‘เขาค่าย-เขาทะลุ’ เป็นแนวเทือกเขาหินปูนที่มีโพรงถ้ำเป็นแนวเขาสำคัญ เป็นต้นทางน้ำที่อุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่ราบชายฝั่งน้ำสำหรับเพาะปลูกและตั้งถิ่นฐาน ส่วนการใช้เพิงผาถ้ำ [Shelter] และถ้ำ [Cave] สำหรับใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะการฝังศพอย่างเห็นได้ชัด จากข้อมูลสัมภาษณ์ผู้ที่ขึ้นไปค้นหาโบราณวัตถุที่ ‘ถ้ำตาหมื่นนี’ ในตำบลนาสัก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร กล่าวว่า การฝังศพมีอยู่ด้วยกันสองระยะ โดยการฝังศพระยะแรกจะพบโครงการกระดูก ภาชนะที่อุทิศให้แก่ศพไม่มากนักและโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องประดับเช่นลูกปัดทำจากเปลือกหอยมือเสือ เปลือกหอยมวนขนาดเล็ก เปลือกหอยเบี้ยที่ตัดผิวด้านบนและลูกปัดทำจากหินสีส้มรูปแบบแตกต่างไปจากหินคาร์เนเลียนที่พบกันในระยะหลัง และเน้นว่าพบภาชนะแบบหม้อสามขาอยู่ในการฝังศพที่ชั้นดินล่างสุด ชั้นดินด้านบนเป็นการฝังศพที่มีโบราณวัตถุในกลุ่มแบบสุวรรณภูมิอยู่ด้วย เช่น การพบลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติ คือ หินอาเกต คาร์เนเลียน ควอตซ์ใสเจียเป็นรูปร่างต่างๆ หินแจสเปอร์สีเขียวและแดงทำเป็นเหลี่ยมมุมแบบ ๒๔ เหลี่ยมมุม ลูกปัดสีเดียวแบบอินโด-แปซิฟิค หัวแหวนที่น่าจะทำจากหินอาเกต เศษเครื่องประดับทองคำ และชิ้นส่วนของเครื่องมือเหล็ก และยังมีกำไลวงใหญ่ขนาดเรียวเล็กที่น่าจะมีส่วนผสมของทองแดงเด่นชัด ที่ไม่เคยพบทั่วๆ ไป นอกจากนี้จากคำบอกเล่ากล่าวว่าแหล่งฝังศพพบบริเวณเพิงผาถ้ำ [Shelter] แต่พื้นที่ด้านบนที่เป็นโพรงถ้ำ [Cave] มีการพบเครื่องประดับพวกลูกปัดต่างๆ และเศษเครื่องทอง โดยไม่พบการฝังศพแต่อย่างใด
ย้อนขึ้นไปที่ ‘ต้นน้ำละอุ่น’ จากบริเวณ ‘ปากแพรก’ นี้เอง หากเดินทางเลียบลำน้ำละอุ่นต่อมาทางใต้ราว ๑๐ กิโลเมตร ก็จะเดินทางสู่พื้นที่เนินราบเป็นรูปร่างคล้ายวงกลม และภายในพื้นที่ ‘ตำบลในวง’ มีภูเขาหินปูนลูกโดดอยู่หลายแห่ง เรียกว่า ตำบลในวงเหนือและตำบลในวงใต้ อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง มีถ้ำที่รู้จักกันดีคือ ‘ถ้ำเสือ’ ซึ่งพบโบราณวัตถุสำคัญ เช่น ภาชนะมีปุ่มด้านใน [Knobbed Ware] ทำจากดินเผาและถูกหินปูนเคลือบภายนอก ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติภูเก็ต ซึ่งเป็นโบราณวัตถุจากแดนไกลที่กรมศิลปากรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ยังพบดาบเหล็กขนาดสั้น รูปทรงคล้ายพระขรรค์ ภาชนะแบบขันทำจากสำริดแบบบางน่าจะเป็นลักษณะโลหะประเภทสัดส่วนดีบุกสูง [High Tin Bronze] ลูกปัดทำจากหินกึ่งมีค่าและแก้วรวมทั้งเปลือกหอย ขาภาชนะแบบหม้อสามขา ขวานหินขัดแบบมีบ่าและไม่มีบ่าขนาดใหญ่และสั้น เศษหินสำหรับบดที่เป็นแท่นหินพบได้ทั่วไปในแหล่งโบราณคดีแบบทวารวดี ฯลฯ
แนวเทือกเขาหินปูน 'เขาทะลุ' อำเภอสวี จังหวัดชุมพร (ซ้าย) เขาตาหมื่น ตำบลนาสัก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
อยู่ในพื้นที่เกือบกึ่งกลางระหว่างแนวเขาหินปูนที่เขาทะลุและชายฝั่งทะเล (ขวา)
ลูกปัดหินคาร์เนเลียนและควอตซ์รูปแบบกลมและแบบทุ่น ลูกปัดแก้วสีน้ำเงินและฟ้า (ซ้าย)
ชิ้นส่วนเครื่องทองต่างๆ ที่พบร่วมกับการฝังศพที่เขาตาหมื่นมี (ขวา)
นอกจากนี้ยังมีการสำรวจโดยนักโบราณคดีจากสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช พบแหล่งโบราณคดีกว่า ๑๕ แห่งภายในตำบลในวงเหนือและใต้นี้ ซึ่งมีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ โดยพบเศษภาชนะ กระดูกสัตว์ และพบลูกปัดอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามถ้ำต่างๆ ที่มีการสำรวจเหล่านี้ไม่พบหลักฐานร่องรอยที่มีมากและเด่นชัดว่ามีการใช้พื้นที่ในช่วงเวลายุคสุวรรณภูมิแบบที่ ‘ถ้ำเสือ’ ซึ่งบริเวณที่ถ้ำเสือยังไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีหรือค้นพบว่ามีการฝังศพเพื่ออุทิศสิ่งของเหล่านี้ให้ผู้วายชนม์ในช่วงเวลานี้ แต่เป็นร่องรอยของการอยู่อาศัยของผู้คนที่นำเอาวัตถุทางวัฒนธรรมมาจากแดนไกลทางฝั่งอนุทวีปอินเดีย และทิ้งร่องรอยสำคัญเหล่านี้ไว้ จนทำให้เห็นว่า บริเวณ ‘ถ้ำเสือ’ ที่ตำบลในวง อำเภอละอุ่น เป็นพื้นที่พักแรมหรือเป็นจุดเชื่อมต่อในเส้นทางข้ามคาบสมุทรทางฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทยที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง (ธวัชชัย ชั้นไพศาลศิลป์. ก่อนประวัติศาสตร์-แรกเริ่มประวัติศาสตร์ ที่ตำบลในวงเหนือ-ในวงใต้ อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง, เผยแพร่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๔, https://url.in.th/WLPiI)
จากถ้ำเสือมีเส้นทางน้ำเดินทางลงสู่นอกหุบเขาอีกราว ๑๖ กิโลเมตร ก็ผ่านสันปันน้ำของบริเวณนี้ถึงบริเวณบ้านทับช้าง ในอำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร เดินทางตามลำน้ำตะโกอีกราว ๒๐ กิโลเมตรก็ถึง ‘ปากน้ำตะโก’ ที่มี ‘ถ้ำถ้วย’ ซึ่งน่าจะเป็นที่พักของนักเดินทางก่อนออกสู่ทะเลในระยะราว ๓ กิโลเมตรก็จะถึงปากน้ำ บริเวณนี้เป็นเผิงผาถ้ำหินปูนและพบโบราณวัตถุพวกลูกปัดหินและแก้ว เครื่องถ้วยแบบซ่าหวิงก์-คาลานาย และเศษภาชนะแบบกดจุดประทับ [Rouletted Wares] ซึ่งทั้งแบบภาชนะเต็มใบและแบบเขียนสีแดง จำนวนหนึ่ง บริเวณนี้หากเดินทางเลียบชายหาดไปจะพบว่ามีแหล่งโบราณคดีแบบเพิงผาถ้ำที่ ‘ถ้ำพลา’ ซึ่งการสำรวจในปัจจุบันไม่พบร่องรอยหลักฐานภายในถ้ำหลงเหลืออยู่ ผู้ดูแลกล่าวว่ากระดูกมนุษย์ที่พบในถ้ำนั้นชาวบ้านนำไปลอยอังคารที่ปากน้ำสิ้นแล้ว นอกจากนี้ยังพบแหล่งโบราณคดีที่แนว ‘เขาหลัก’ ตำบลครน อำเภอสวี ซึ่งเป็นภูเขาหินปูนแนวยาวตั้งในแนวขวางเหนือใต้ห่างจากอ่าวสวีเก่าชายฝั่งทะเลราว ๓-๔ กิโลเมตร
และบริเวณ ‘อ่าวคราม’ ซึ่งอยู่ห่างจาก ‘ปากน้ำตะโก’ ห่างจากกลุ่มเขาหลักราว ๕-๖ กิโลเมตร และผ่านเขาต่างๆ ที่พบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีในยุคสุวรรณภูมินี้ไปทางด้านเหนือราว ๒๐ กิโลเมตร แหล่งโบราณคดีอยู่ติดเชิงเขาและเป็นพื้นที่ปิดอยู่ระหว่างหุบเขาคือเขาล้านทางฝั่งตะวันตกและเขาข่อคอที่เป็นแหลมยื่นไปในทะเลโดยมีหินปะการังล้อมรอบ แต่เดิมคือบ้านบ่อคาและบ้านอ่าวค้อก่อนจะเรียกว่าอ่าวคราม บริเวณริมแนวเขาพบร่องรอยแหล่งโบราณคดีแบบที่พักชั่วคราว พบร่องรอยของลูกปัดจำนวนไม่น้อยและโบราณวัตถุประเภทภาชนะดินเผาจำนวนหนึ่ง
และจากลักษณะพื้นที่ซึ่งมีเทือกเขาล้อมรอบอยู่ทุกด้าน ทำให้เห็นว่าพื้นที่นี้ช่องทางเข้าน่าจะเป็นทางทะเลและเป็นสถานที่หลบลมฝนพายุได้อย่างดีมาก ซึ่งลักษณะการเลือกพื้นที่ของชาวประมงที่อ่าวครามนี้ก็ดูจะเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นพื้นที่สงบคลื่นลมและมีที่ราบกว้างเชิงเขาเหมาะสำหรับปลูกเพิงหรือกระท่อมพักแรมสำหรับนักเดินเรือเลียบชายฝั่งได้ดี ดังนั้น บริเวณถ้ำปากน้ำ เช่น ที่ถ้ำถ้วย ปากน้ำตะโก และอ่าวคราม ก็น่าจะแสดงถึงเป็นที่พักแรมชั่วคราวของชาวน้ำ-นักเดินทางเลียบชายฝั่งในกลุ่มออสโตรนีเชียน [Sea Farers] เป็นการเดินทางของนักเดินทางและพ่อค้าที่ต้องใช้เครือข่ายระบบการเดินทางจากป่าเขาที่สูง ซึ่งแน่นอนต้องเดินทางด้วยพาหนะเช่น ‘ช้าง’ ซึ่งในบริเวณจังหวัดชุมพรในป่าเขาไปจนถึงจังหวัดระนอง การใช้ ‘ช้าง’ เพื่อเดินทางข้ามคาบสมุทรและเดินทางในป่าเขาริมลำน้ำ นอกจากเรือขุดจากซุงในตามลำน้ำแล้วก็ต้องใช้ ‘ช้าง’ ในการเดินทางเป็นหลัก
แหล่งโบราณคดีเชิงเขาที่อ่าวคราม (บน) ปากน้ำตะโก เห็นทางด้านไกล
ส่วน 'ถ้ำถ้วย' เป็นเพิงผา [shelter] ของเขาลูกที่สอง (ล่าง)
และจากบริเวณ ‘ถ้ำถ้วย’ ที่อยู่ทางฝั่งขวาของปากน้ำตะโกและอยู่ห่างจากแนวลำน้ำตะโกราว ๑๐๐-๒๐๐ เมตร จึงเป็นสถานที่หลบลม พายุ ฝนได้เป็นอย่างดี และสามารถค้างแรมเป็นที่พักอยู่ได้เป็นระยะเวลายาวนานต่อวงรอบปี และมีการฝังศพในบริเวณเพิงผาถ้ำ ทั้ง ‘ถ้ำถ้วยและถ้ำพลา’ ซึ่งเป็นเพิงผาถ้ำที่อยู่ห่างออกไปอีกฝั่งของลำน้ำตะโกไปทางเหนือห่างจากแนวถ้ำถ้วยราว ๔.๕-๕ กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีการพบลูกปัดอีกจำนวนมาก และภาชนะดินเผาลายคดโค้งแบบซ่าหวิงก์-คาลานายรวมทั้งแบบกดจุดแบบอินเดีย ทั้งหมดอาจจะเป็นผู้เดินทางเลียบชายฝั่งที่เป็นชาวน้ำผู้ชำนาญการการเดินทางที่เป็นผู้ประกอบการเดินทางขนส่งสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้เลียบชายฝั่ง เพราะจาก ‘ปากน้ำตะโก’ สามารถใช้เรือเดินทางเลียบชายฝั่งขึ้นเหนือหรือลงใต้ได้ทั้งสองทิศทาง ทางเหนือไปยังปากน้ำท่าตะเภาอีกราว ๕๐ กิโลเมตร ถึงปากน้ำท่าตะเภาสู่เขาสามแก้ว ส่วนทางใต้เข้าปากน้ำหลังสวนอีกราว ๑๗ กิโลเมตรก็เดินทางเข้าสู่ลำน้ำหลังสวนสู่เขาเสก หรือจะเดินทางออกไปยังน่านน้ำทะเลนอกเพื่อไปยังทิศทางต่างๆ ที่ต้องการได้ตามเหมาะสม
เส้นทางในกลุ่มที่สองของการข้ามคอคอดกระ เส้นที่ ๓
กลุ่มที่ ๒ (เส้นทางที่ ๓ และ ๔)
ในกลุ่มนี้จะเห็นว่าทางฝั่งอันดามันนั้นมีพื้นที่สำคัญคือ ‘เมืองที่ริมฝั่งคลองบางกล้วยและบริเวณรอบภูเขาทอง’ ในเขตอำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง ซึ่งพบโบราณวัตถุจำนวนมากและเห็นว่าเป็นแหล่งผลิตลูกปัดจากหินกึ่งรัตนชาติต่างๆ และแก้ว และที่พบมากคือเศษเครื่องทอง เป็นรูปแบบที่กำลังพัฒนาเป็นเมืองท่าชายฝั่ง และเป็นแหล่งผลิตขนาดใหญ่ที่ต้องมีการทำการศึกษาให้ละเอียดมากขึ้น เพราะน่าจะเป็นกลุ่มแหล่งโบราณคดีสำคัญที่เหลือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะสามารถทำงานศึกษารายละเอียดได้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ที่ถูกทำลายหรือเสียสภาพไปมากแล้ว
ส่วนทางฝั่งบริเวณ ‘เขาเสก’ ที่อยู่ตรงข้ามกับตลาดหลังสวนในอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรนั้น บริเวณริมฝั่งน้ำส่วนหนึ่งนั้นจะถูกทำเป็นเขื่อนคอนกรีตป้องกันการกัดเซาะชายตลิ่งก็ตาม แต่หากสามารถทำงานทางโบราณคดีได้ในบริเวณที่พบโบราณวัตถุสำคัญ รวมทั้งบริเวณชายตลิ่ง พื้นที่บริเวณเขาเสกน่าจะทำให้เห็นข้อมูลที่มีคุณค่าสูงอีกมาก เพราะมีกลุ่มการศึกษาที่เขาเสกได้เพียงกลุ่มเดียวโดยคณะทำงานของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ [EFEO]
ส่วนเส้นทางสายที่ ๔ นั้น ตัดข้ามออกจากบริเวณต้นน้ำกะเปอร์ที่บ้านนาไปออกทางต้นน้ำคลองท่าไม้แดงที่ปากหมากในอำเภอไชยา แล้วไปตามลำน้ำผ่านไชยาไปทางบริเวณที่ใกล้กับ ‘เขาประสงค์’ ซึ่งเป็นเทือกเขาหินปูนวางตัวในแนวยาวตามชายฝั่งเหนืออ่าวบ้านดอน ซึ่งเป็นแหล่งการติดต่อค้าขายและชุมชนใหญ่ที่ไชยาและพุนพินในช่วงราวสมัยศรีวิชัยยุคต่อมา ในอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเป็นจุดสังเกต [Landmark] สำหรับนักเดินทางทางทะเลมาทุกยุคสมัย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสินค้าทรงคุณค่าที่สำคัญแห่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในบริเวณอ่าวไทย
เครื่องทองต่างๆ ที่ดูจะพบมากในบริเวณทั้งภูเขาทองและเมืองที่ริมคลองบางกล้วยในอำเภอสุขสำราญ เขมายี้ในเขตพม่า และท่าชนะที่เป็นแหล่งผลิตใหญ่ รวมทั้งเขาเสกที่อาจจะเป็นแหล่งผลิตที่สถานีย่อยของทางเขาสามแก้วและทางท่าชนะทำให้เห็นเครือข่ายการเชื่อมโยงสินค้าและงานหัตถศิลป์ระดับเยี่ยมยอด โดยเฉพาะเครื่องทอง เช่นที่เขมายี้ซึ่งพบ ‘เครื่องประดับต่างหูทองคำ’ ขนาดราว ๔.๘ x ๑.๙ เซนติเมตร หนัก ๔๔ กรัม ซึ่งมีเทคนิคการทำและลวดลายที่พบก็ทำให้อายุของการทำทองและช่างทองที่เข้ามาสู่คาบสมุทรแห่งนี้ และน่าจะเก่าไปถึงช่วงราชวงศ์เมารยะ-ศุงคะ ซึ่ง ‘แอนนา เบนเนต’ [Anna Bennett Suvanabhumi ‘Land of Gold’ in Suvanabhumi : The Golden Land, 2019] วิเคราะห์ว่า เป็นการทำด้วยเทคนิคแบบ Granulation คือการติดเม็ดทองกลมๆ เล็กๆ ลงบนผิวแผ่นทองบางๆ โดยใช้แป้งกาวที่ผสมกับทองแดงประสาน เมื่อผ่านความร้อนเนื้อทองแดงก็จะละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกับทองจนแทบไม่เห็นรอยต่อ ลูกทองกลมขนาดเล็กๆ ทำเตรียมไว้ขนาดต่างๆ เพื่อนำมาติดแปะเป็นรูปร่างลวดลาย
เทคนิคอันละเอียดปราณีตนี้เข้าสู่อินเดีย ผ่านทางวัฒนธรรมเปอร์เซียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓-๕ ในช่วงราชวงศ์เมารยะ-ศุงคะ (พ.ศ. ๒๒๑-พ.ศ. ๓๕๘, พ.ศ. ๓๕๘-๔๘๐) ที่ต่อเนื่องกับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะ (พ.ศ. ๒๗๐-พ.ศ. ๓๑๑) โดยนำไปเปรียบเทียบกับภาพสลักแบบนูนต่ำจักรวาทิน [Chakravarti] หรือพระจักรพรรดิราช
เช่นที่ภาพนูนต่ำแบบอมราวดีจากอานธรประเทศ งานชิ้นนี้กำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๕ [Anna Bennett, 2019] นอกจากนี้ ยังพบชิ้นส่วนทองรูปพรรณเทคนิคแบบ Granulation ที่บริเวณเขมายี้ เขาสามแก้ว ภูเขาทอง และท่าชนะ รวมไปถึงแถบคลองท่อม ในจังหวัดกระบี่ที่ผลิตโดยเทคนี้เหล่านี้เช่นเดียวกัน
เส้นทางที่ ๓. ภูเขาทอง / บางกล้วย-ในหยาน-คลองพะโต๊ะ-เขาเสก-ปากน้ำหลังสวน
ในทิศทางที่ออกเดินทางจาก ‘ปากคลองสุไหงอินู’ ลงไปทางใต้ราว ๑๑๕ กิโลเมตร บริเวณชายฝั่งอันดามันในตำแหน่งปากคลองบางกล้วย เป็นเส้นทางที่เมื่อแล่นเรือเข้าสู่แผ่นดินภายในไปตามระยะทางน้ำราว ๔ กิโลเมตร ตามคลองบางกล้วย ในอำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง เข้าประชิดพื้นที่เนินสูงทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำที่กลายเป็นคลองเล็กๆ เมื่อปีนเนินสูงชันขึ้นไปกว่า ๕ เมตรก็จะพบว่ามีการทำแนวคันดินบางส่วนทำให้เกิดเป็นคันดินล้อมรอบพื้นที่เกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางของเมืองสูงกว่าชายตลิ่งลำน้ำสาขาคลองบางกล้วยกว่า ๒๐ เมตรทีเดียว
เมืองนี้มีแนวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่โตนักราว ๒๕๐ เมตร x ๑๐๐ เมตร ทั้งบริเวณชายเนินริมลำน้ำด้านล่างและบริเวณภายในเมืองและโดยรอบ พบโบราณวัตถุพวกเครื่องทอง ลูกปัดทองคำและเครื่องทองที่พบกระจายตามในบริเวณเมืองท่าต่างๆ เหล่านี้
บริเวณภูเขาทองและในเมืองที่บางกล้วย พบโบราณวัตถุล้ำค่าหลายชนิด จำนวนมาก และมีการขุดค้นทางโบราณคดีจากสำนักศิลปากรที่ ๑๕ ภูเก็ต นำโดย ร.อ.บุญฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ถือว่าเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีครั้งแรกทางชายฝั่งอันดามันและมีความสำคัญจนกลายเป็นฐานข้อมูลอ้างอิงของนักวิชาการทั่วโลก
นอกจากการอ้างอิงโบราณวัตถุจากแหล่งขุดค้นอย่างเป็นทางการได้แล้ว ยังมีการทำงานเพื่อกำหนดอายุซากเรือจมที่ปากคลองบางกล้วยราวพุทธศตวรรษที่ ๕ และพบหลักฐานสำคัญ เช่น ลูกปัดหินรูปสิงโตหมอบ คล้ายที่พบจากการขุดค้นที่ดอนตาเพชร ตราประทับสลักบนเนื้อหินหัวแหวนรูปบุคคลแบบกรีก-โรมันที่เรียกว่า Intaglio เครื่องประดับแบบแกะสลักบนผิวที่เรียกว่า Cameo ชิ้นส่วนเครื่องประดับทองคํา เศษภาชนะดินเผาที่มีต้นทางจากอินเดียตอนใต้ ภาชนะดินเผาที่มีจารึกอักษรพราหมี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบตราประทับทองคำมีจารึกอักษรพราหมี ‘พฤหัสปติศรมัน นาวิกะ’ ซึ่งมีข้อสันนิษฐานตัวอักษรที่ควรนำมาเปรียบเทียบเพื่อหาอายุ น่าจะอยู่ในช่วง ‘ราชวงศ์สาตวาหนะ’ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๓–๘ ลูกปัดหินกึ่งมีค่าชนิดต่างๆ ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งผลิตสินค้าทรงคุณค่าต่างๆ โดยช่างจากแดนไกล และมีการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยอย่างถาวรทางทิศใต้ของเมืองที่คลองบางกล้วย ซึ่งห่างไปไม่เกิน ๑.๕ กิโลเมตร คือที่ตั้งของภูเขาสูงที่ถูกเรียกว่า ‘ภูเขาทอง’ พบโบราณวัตถุจำนวนมาก ชาวบ้านค้นหาโบราณวัตถุรอบเชิงเขากันมากในช่วงหนึ่ง ปัจจุบันถูกห้ามปรามจึงลดการค้นหาลง
สำหรับซากเรือที่ชายหาดต่อกับปากคลองบางกล้วย ภูเขาทอง ในจังหวัดระนอง โดยมีการตรวจค่าอายุและนำชิ้นส่วนเรือที่เหลือไปอนุรักษ์แล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ค่าอายุ ๒,๑๒๐ และ ๒,๑๔๐ ปีมาแล้ว หรือในราวพุทธศตวรรษที่ ๕ อาจจะเป็นซากเรือจมที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย
ตราประทับทองคำมีจารึก 'พฤหัสปติศรมัน นาวิกะ'
พบที่ภูเขาทอง ชายฝั่งอันดามัน จังหวัดระนอง
กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร วิเคราะห์ว่าเทคนิคการต่อเรือแบบโบราณ ด้วยการเซาะร่องตรงกลางของไม้เปลือกเรือแต่ละแผ่น แล้วสอดเดือยเข้าตรงกลางระหว่างไม้เปลือกเรือสองแผ่น จากนั้นยึดโดยการเจาะรูทะลุลงไประหว่างไม้เปลือกเรือกับตัวเดือย แล้วสอดลูกประสักเพื่อยึดเปลือกเรือทั้งสองเข้าด้วยกัน เทคนิคการต่อเรือดังกล่าวมีพัฒนาการมาจากทวีปยุโรป มักพบในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนช่วงสมัยยุคกลาง หลังจากนั้นได้แพร่หลายจนเป็นที่นิยมไปหลายแห่งรวมทั้งที่พบบริเวณปากคลองบางกล้วยในจังหวัดระนองนี้ด้วย
เส้นทางข้ามคาบสมุทรจาก ‘เมืองที่ริมคลองบางกล้วย’ สามารถใช้เรือเดินทางออกจากปากคลองบางกล้วย แล้วออกทะเลขึ้นเหนือ เพื่อเข้าไปยังปากน้ำกะเปอร์ ในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ระยะทางราว ๒๐ กิโลเมตร หรือจะใช้เส้นทางเดินเท้าก็ได้เช่นกัน แล้วใช้คลองกะเปอร์เดินทางไปต่อราว ๒๐ กิโลเมตร จนถึงแพรกที่เป็นบริเวณคลองกะเปอร์ต่อกับ ‘คลองบางปรุ’ บริเวณริมตลิ่งของ ‘วัดประชาธาราราม’ ซึ่งพบแหล่งโบราณคดีและพบลูกปัดจำนวนมาก
ปากคลองบางกล้วย บริเวณที่พบซากเรือจมอายุกว่าสองพันปีมาแล้ว
จากนั้นใช้ลำน้ำกะเปอร์ไปทางต้นน้ำต่อ ผ่านช่องเขาเข้าไปภายในราว ๑๕ กิโลเมตร ไปจนถึงบริเวณ ‘บ้านนา’ ซึ่งชุมชนนี้เป็นชาวบ้านปากหมากทางฝั่งอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีมาแต่เดิม ใช้วิธีเดินเท้าข้ามเขามาแสวงหาที่ทำกินเป็นพื้นที่เกษตรกรรมในรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าตายายเมื่อราว ๖๐-๘๐ ปีที่ผ่านมา
เมื่อเดินเท้าขึ้นเขาไปราว ๓๐ กิโลเมตร จะถึงบริเวณ ‘บ้านในหยาน’ ซึ่งพบโบราณวัตถุที่สำคัญหลายอย่าง โดยเฉพาะชิ้นส่วนแผ่นหน้าของ ‘มโหระทึก’ แบบเฮเกอร์ I บริเวณลำน้ำแถบนี้หลายสาย คือ คลองปลาด คลองปากทรงและคลองศอก และจุดที่คลองศอกสบกับคลองพะโต๊ะ บริเวณนี้ชาวบ้านเล่าว่าเคยใช้การร่อนแร่ดีบุกในลำน้ำพะโต๊ะและคลองศอก มักพบลูกปัดแก้วขนาดเล็กหรือลูกปัดลมหรือที่เรียกว่าลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิค แต่ชาวบ้านแถบนี้เรียกว่า ‘ลูกปัดตามด’ เพราะมีขนาดเล็กจิ๋วมาก และน่าจะพบลูกปัดชนิดอื่นๆ รวมทั้งโบราณวัตถุที่นอกเหนือจากชิ้นส่วนมโหระทึกแบบเอเกอร์ I เพียงแต่ไม่มีรายงานที่ชัดเจน
จาก ‘บ้านในหยาน’ ล่องลงไปตามลำน้ำพะโต๊ะอีกราว ๓๐-๓๕ กิโลเมตร จะถึง ‘บ้านทอนพงษ์’ ซึ่งพบโบราณวัตถุแบบขวานหินมีบ่าขนาดใหญ่จำนวนมาก แต่เท่าที่บันทึกได้มีความยาว ๔๙ และ ๒๕ เซนติเมตร ซึ่งถือว่าขนาดยาวมาก และพบขวานหินขนาดยาวเช่นนี้ตามแหล่งที่มีการทำเหมืองแบบร่อนแร่ดีบุกตามริมลำน้ำในเขตต้นน้ำลำธารหลายแห่งในภาคใต้ เช่นที่เขตอำเภอสิชล ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น และทางฝั่งตะวันตกของภาคกลางในเขตสวนผึ้งและจอมบึงของเทือกเขาตะนาวศรี และ ‘บ้านปังหวาน’ ซึ่งทั้งที่ริมตลิ่งบ้านปังหวานฝั่งตรงข้ามกับวัดปังหวาน และชายตลิ่งเหนือวัดปังหวานใกล้กับตอม่อของสะพานข้ามลำน้ำพะโต๊ะ พบมโหระทึกเต็มใบและชิ้นส่วนของมโหระทึกตามลำดับ
อนึ่ง บ้านปังหวานริมลำน้ำพะโต๊ะนี้ คือสถานที่จอดเรือสัญจรเมื่อยังใช้เรือเมล์เดินทางระหว่าง ‘หลังสวน’ และ ‘พะโต๊ะ’ ในอดีต ที่เลิกไปเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ โดยหน้าวัดปังหวานเป็นที่จอดเรือแวะพักค้างคืนในระยะครึ่งทาง ดังนั้นหากใช้เรือเมล์หรือเรือแจวพายถ่อในอดีตที่ลำน้ำพะโต๊ะมีน้ำมากในฤดูน้ำหลากและในฤดูกาลปกติ ก็จะใช้บริเวณบ้านปังหวานในการจอดพักแรมมาตั้งแต่อดีตทีเดียว
ลำน้ำพะโต๊ะหน้าวัดปังหวาน เหนือขึ้นไปคือลำน้ำปังหวานมาสมทบ
บริเวณที่พบมโหระทึกนั้นอยู่ชายตลิ่งฝั่งตรงข้ามกับวัดปังหวาน
บริเวณตรงข้าม ‘วัดปังหวาน’ เคยเป็นพื้นที่ราบชายตลิ่งและน้ำเซาะชายตลิ่งพังไปหลายสิบปีมากกว่า ๒๐-๓๐ เมตร ‘อาจารย์สุนทร เกิดด้วง’ ผู้เป็นทั้งเจ้าของที่และผู้พบโบราณวัตถุในกลุ่มนี้พบกลองมโหระทึกฝังอยู่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายในพบชิ้นส่วนกะโหลก ฟัน และกระดูกมนุษย์บางส่วน อันแสดงอย่างชัดเจนว่าเป็นแนวคิดวิธีการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งกล่าวกันว่าที่เขาสามแก้วก็พบการบรรจุใส่กระดูกและเครื่องประกอบใส่ลงไปในกลอง ‘มโหระทึก’ แบบเฮเกอร์ I
อาจารย์สุนทร เกิดด้วง และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลปังหวาน
ให้ข้อมูลรายละเอียดการพบมโหระทึกที่ริมตลิ่งลำน้ำพะโต๊ะฝั่งตรงข้ามวัดปังหวาน
นอกจากนี้ ในกลองที่ใส่สิ่งของร่วมกับชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์นี้ยังพบเบ้าหล่อหัวขวานสำริดด้านเดียว ๑ ชิ้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า พบไม่บ่อยนักในบริเวณแหล่งโบราณคดีในแถบคาบสมุทร แต่จะพบมากในแถบภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เครื่องประดับทองแบบต่างหูตันมีน้ำหนัก ๒-๓ ชิ้น กำไลทำจากเนื้อเงิน กำไลทำจากหินควอตซ์หนาหนักสีใสขุ่นและสีคล้ำขุ่น ๔ ข้างหรือ ๒ คู่ที่มีรูปแบบคล้ายกัน กำไลหินสบู่ซึ่งแตกหักเป็นชิ้นๆ แต่น่าจะเป็นหินหาได้ยากจากแดนไกล หินกึ่งมีค่าพวกคาร์เนเลียนรูปแบบรีและกลมขนาดใหญ่ ซึ่งลูกปัดคาร์เนเลียนแบบกลมมีการฝังลายเส้นสีขาวคาด [Etched carnelian beads] โดยรอบหลายชิ้น ลูกปัดสีม่วงเข้มโปร่งใสและลูกปัดสีเขียวแบบสีเดียวจำนวนมาก รวมทั้งก้นของภาชนะสำริดแบบก้นภาชนะแบบมีปุ่ม [Knobbed ware] ที่น่าจะเป็นแบบสัดส่วนดีบุกสูงและผลิตขึ้นจากการหล่อ ๑ ชิ้น รวมทั้งปากภาชนะสำริดมีการประดับลวดลายเรขาคณิตที่น่าจะเป็นแบบวัฒนธรรมดองซอน ขันสำริดแบบสัดส่วนดีบุกสูง [High tin bronze] ที่เนื้อบาง แลเห็นสีทองมันวาวภายในภาชนะชัดเจน
และผู้พบกล่าวว่า พบโดยลักษณะเป็นการรวบปากภาชนะให้ม้วนหุบเข้าหากัน และด้านในไม่มีวัตถุอื่น แต่ก็อาจบรรจุหรือห่อสิ่งของที่เป็นสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้และมีความสำคัญต่อการบรรจุในพิธีกรรมการตายหรือการฝังศพครั้งที่สองนั้น ถือว่าการพบการฝังศพในมโหระทึกที่บ้านปังหวานนี้ได้ข้อมูลค่อนข้างมากและสมบูรณ์กว่าที่อื่นๆ โดยความพยายามอนุรักษ์ของทั้งเจ้าหน้าที่รัฐคือทางนายกองค์การบริหารส่วนตำบลปังหวานและเจ้าของที่คือ ‘อาจารย์สุนทร เกิดด้วง’ ได้นำกำไลคู่หนึ่งและลูกปัดทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเดินทางมายังพะโต๊ะ ส่วนมโหระทึกนำไปมอบให้กับกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กรุงเทพฯ แล้วเช่นกัน ส่วนพื้นที่อื่นๆ รอบนอกใกล้กับที่พบมโหระทึก ก็พบพวกเครื่องมือเหล็กจำนวนมากและลูกปัดอีกจำนวนหนึ่ง แต่เจ้าของพื้นที่ไม่ได้มีการขุดค้นหาสิ่งของมากนักและบริเวณนี้มีการห้ามปรามจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นด้วย จึงทำให้การหาสิ่งของที่บ้านปังหวานหยุดไป
แผ่นส่วนก้นภาชนะแบบมีปุ่มด้านใน [Knobbed Ware] กำไลงาช้าง
เครื่องประดับทองคำแบบตัน และแม่พิมพ์หัวขวาน
บริเวณบ้านปังหวานนี้ยังเดินทางลัดเลาะไปออกบริเวณต้นน้ำของคลองละแมได้ และพบแหล่งโบราณคดีในบริเวณต้นน้ำละแมที่ ‘บ้านรุ่งเรือง’ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นหมู่บ้านเกิดใหม่ ชาวบ้านเดินทางมาแสวงหาที่ทำกินจากที่ต่างๆ และชาวบ้านแถบปังหวานกล่าวว่าเป็นเส้นทางลัดที่จะเดินทางไปยังแถบชายฝั่งหรือชุมชนในเขตอำเภอละแม จังหวัดชุมพร ได้พบชิ้นส่วนของภาชนะสำริด ลูกปัดทองคำ ลูกปัดสีม่วงเข้มโปร่งใสแบบเดียวกับที่พบในแถบบ้านปังหวานและลูกปัดหินอาเกต
จากนั้นเดินทางโดยใช้คลองพะโต๊ะอีกราว ๓๐ กิโลเมตร ก็จะถึง ‘เขาเสก’ ซึ่งเป็นจุดพักสำคัญและน่าจะต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบันเมื่อเกิดเมืองหลังสวน เพราะอีกฝั่งนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองหลังสวนที่อยู่ภายใน จากนั้นต้องเดินทางผ่านลำน้ำหลังสวนเพื่อออกปากน้ำหลังสวนอีกราว ๑๒ กิโลเมตร
ที่เขาเสกพบว่าที่ราบเชิงเขาต่อกับลำน้ำหลังสวนหรือน้ำพะโต๊ะมีการพบโบราณวัตถุจำนวนมาก และวัตถุสำคัญที่นำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชุมพร เป็นชามปากกว้างก้นตื้นแบบ ‘ภาชนะสีดำขัดมัน’ [Black Polished Ware] ด้านนอกวาดลวดลายเป็นลูกคลื่น เพราะพบตามแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในอินเดียทางชายฝั่งเบงกอลและมีการผลิตต้นทางจากทางเหนือ ตั้งแต่ก่อนพุทธ-ศาสนากำเนิดขึ้นราว ๒๐๐ ปี ทำจากดินเผาเนื้อละเอียด เนื้อบาง เผาคุณภาพดีและมีการเคลือบน้ำเคลือบบางๆ ก่อนจะนำมาขัดมัน สีของผิวภาชนะมีตั้งแต่สีดำสนิท น้ำตาลคล้ำ เทา และแดง ถือเป็นภาชนะมีมูลค่าสูงของชนชั้นนำ โดยสันนิษฐานอายุที่ปรากฏทางใต้ของอินเดียอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒ ถึง ๗ พบว่าแหล่งโบราณคดีแทบทั้งหมดที่พบภาชนะสีดำขัดมันคือศูนย์กลางทางพุทธศาสนายุคเริ่มแรกในอินเดีย
และที่จัดแสดงไว้มีแม่พิมพ์หินหล่อเครื่องประดับแก้วที่รูปลักษณ์ของแก้วที่หล่อเช่นนี้พบในแหล่งโบราณห่างไกลออกไป เช่นที่บ้านเชียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับรูปสัตว์สองหัวทำจากหินหยกไต้หวัน หรือ Nephrite และตราประทับที่มีอักษรพราหมี ๔ ตัวเทียบได้กับตัวอักษร ศ ฆ ย ศ ซึ่งยังไม่ทราบความหมาย ด้านล่างตัวอักษรเป็นสัญลักษณ์รูปนันทิยาวัตตะหรือตรีรัตนะ เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชุมพร ประเมินอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๔–๙
บริเวณเขาเสกนี้ น่าจะเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าสำคัญ ส่วนจะเป็นแหล่งผลิตด้วยหรือไม่นั้นไม่แน่ใจนัก และอาจจะเป็นชุมชนในระดับเมืองขนาดย่อยบริเวณชายฝั่งอ่าวไทย และเส้นทางจาก ‘บางกล้วย/ภูเขาทอง’ สู่ ‘เขาเสก’ ผ่านทางคลองพะโต๊ะ น่าจะเป็นเส้นทางสำคัญ เพราะสามารถเดินทางได้ค่อนข้างสะดวกกว่าเส้นทางอื่น
เขาเสก ฝั่งตรงข้ามคือตัวอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
บริเวณที่ราบเชิงเขาติดกับลำน้ำพะโต๊ะหรือคลองหลังสวน
การพบว่ามีการนำมโหระทึกเข้าไปยังบริเวณบ้านในหยานและบ้านปังหวานทั้งสองแห่งที่อยู่บนเส้นทางลำน้ำพะโต๊ะ ยิ่งทำให้ต้องคำนึงถึงความสำคัญของเส้นทางดังกล่าวที่มีชุมชนที่มีพัฒนาการที่ซับซ้อนกว่าหรือเจริญในทางโครงสร้างสังคมมากกว่าชุมชนในบริเวณตามถ้ำหรือเพิงผาเขาหินปูนที่มีการใช้พื้นที่ตามป่าเขา เพราะเป็นชุมชนที่ควบคุมการขนส่งบริเวณริมลำน้ำพะโต๊ะหรือลำน้ำหลังสวน ที่ใช้เชื่อมเดินทางระหว่างคาบสมุทรที่ค่อนข้างสะดวกมากกว่าการเดินทางในเขตแรกทางคอคอดกระด้านบน มีการใช้การฝังศพที่น่าจะเป็นผู้มีสถานภาพขั้นสูงสุดของชุมชนในละแวกนี้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย มีการรับวัฒนธรรมทางวัตถุต่างๆ เพื่อใช้เป็นสิ่งของมีคุณค่าที่อุทิศให้กับศพ เช่น รูปแบบภาชนะดินเผาต่างๆ จากแดนไกล ลูกปัดมีคุณค่าสูงจากทางฝั่งอนุทวีปอินเดียที่บรรจุลงภายในมโหระทึกขนาดใหญ่ที่ทำจากสำริดจากทางฝั่งทะเลจีนใต้และฝังไว้ที่ริมคลองพะโต๊ะในจุดกึ่งกลางของเส้นทางการเดินทางข้ามคาบสมุทรสยาม
มโหระทึกที่เป็นของหายากต้องขนส่งจากแดนไกลมากจนถึงคาบสมุทร และปรากฏร่องรอยว่าเดินทางเรื่อยไปจนถึงเกาะชวาและบาหลีอันเป็นสถานที่บรรจบของการเดินเรือจากอนุทวีปอินเดียสู่ดินแดนสุวรรณภูมิทั้งทางคาบสมุทรและหมู่เกาะ จึงน่าจะมีคุณค่ามหาศาลเมื่อช่วงต้นพุทธกาลนั้น เราไม่ทราบว่าชุมชนดั้งเดิมผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ที่กึ่งกลางคาบสมุทรนี้จะใช้ ‘ตี’ ในพิธีกรรมเช่นเดียวกับเจ้าของวัตถุในวัฒนธรรมต้นทางอย่างทางจีนตอนใต้หรือทางดองซอนในเวียดนามตอนเหนือหรือไม่ หรือเพียงแต่นำมาใช้เป็นเครื่องบ่งบอกสถานภาพชนชั้นที่สูงกว่าผู้อื่นในชุมชนและนำไปอุทิศเพื่อใส่กระดูกและของอุทิศประกอบในพิธีกรรมการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งก็เป็นวัฒนธรรมเกี่ยวกับการตายที่น่าจะนิยมปฏิบัติกันในช่วงหลังจากการฝังศพแบบครั้งเดียวไปแล้ว การฝังศพครั้งที่สองปรากฏในแถบชุมชนดั้งเดิมแถบหมู่เกาะและชาวเขาในป่าสูงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทางเกาะไต้หวันหรือชาวเกาะที่ใช้โลงไม้นำไปไว้บนหน้าผาหรือถ้ำต่างๆ ‘มโหระทึก’ แบบเฮเกอร์ I ดังกล่าวถูกเก็บรักษาโดยการส่งมอบจากชาวบ้านปังหวานและยังไม่เห็นลวดลายหรือรูปแบบของมโหระทึกนี้แต่อย่างใด
แม่พิมพ์หินหล่อเครื่องประดับแก้ว เครื่องประดับรูปสัตว์สองหัว
และตราประทับที่มีลายสัญลักษณ์นันทิยาวัตตะหรือตรีรัตนะ พบที่เขาเสก
เส้นทางในกลุ่มที่สองของการข้ามคอคอดกระ เส้นที่ ๔
เส้นทางที่ ๔. ภูเขาทอง / บางกล้วย-ปากหมาก-ท่าชนะ
เส้นทางจากคลองบางกล้วยที่เดินทางได้ทั้งทะเลและบนบกตัดไปออกคลองกะเปอร์ แล้วไปทางต้นน้ำกะเปอร์สู่แถบตำบล ‘บ้านนา’ บริเวณนี้มีข้อมูลจากชาวบ้านที่ตำบลบ้านนา อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนองว่า พวกตนนั้นมีบรรพบุรุษเป็นคนจาก ‘บ้านปากหมาก’ ในอำเภอไชยาเป็นส่วนใหญ่ อพยพเข้ามาหาที่ทำกินราวสองสามรุ่นมาแล้ว และปัจจุบันญาติพี่น้องล้วนเป็นคนทางฝั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขา
ตามคำบอกเล่ากล่าวว่า การเดินทางจากบริเวณ ‘บ้านนา’ นั้นใช้การเดินทางตามลำน้ำแพรกซ้ายผ่านหน่วยพิทักษ์ป่าบ้านนาราว ๒๐ กิโลเมตรก็ข้ามสันปันน้ำ แล้วเดินทางตามแนวลำน้ำผ่านเหมืองดีบุกเก่าอีกราว ๓๐ กิโลเมตร เขตอุทยานแห่งชาติแก่งกรุงในปัจจุบันก็จะถึงต้นน้ำของคลองท่าไม้แดง ที่มาสบกับคลองไชยา จนกลายเป็นคลองไชยานั้นบริเวณบ้านปากหมาก ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
บริเวณต้นน้ำริมคลองท่าไม้แดง พบหลักฐานว่าพบขวานหินขนาดใหญ่หลายชิ้น บริเวณริมคลองท่าไม้แดง โบราณวัตถุประเภทนี้บ่งบอกถึงน่าจะมีการทำเหมืองแร่ดีบุกที่ใช้วิธีการร่อนแร่บริเวณริมน้ำ โดยใช้แท่งขวานหินขนาดใหญ่ดังกล่าวเป็นเครื่องมือช่วยโกยดินหินทรายและแร่บริเวณริมตลิ่ง ต้นน้ำบริเวณคลองท่าไม้แดงนั้นน้ำไหลแรงมากในฤดูน้ำและสามารถหลากลงได้เร็วจนเกิดภาวะน้ำท่วมได้เสมอ การเดินทางข้ามคาบสมุทรในบริเวณนี้จึงอาจจะใช้เส้นทางลงสู่ลำคลองไชยาได้หลากหลายตามแต่ความสะดวก ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ให้แน่ชัดต่อไปอีกตามความเหมาะสม
จากนั้นเดินทางตามแนวคลองท่าไม้แดงไปสมทบกับคลองไชยา ต้องเดินทางผ่านลำน้ำที่เป็นบริเวณเมืองไชยาในยุคต่อมา บริเวณนี้อาจจะเดินเท้าหรือใช้เรือเดินทางออกปากน้ำคลองไชยาที่บ้านดอนประดู่ แล้วเลียบอ่าวเพื่อวกเข้าแหลมโพธิ์ที่ปากน้ำท่าชนะ ล่องตาม ‘คลองท่าชนะ’ ผ่านพุมเรียงขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เลียบขนานชายหาดฝั่งทะเลด้านนอกและสบกับคลองท่าม่วงหรือคลองประสงค์ใช้ระยะตามลำคลองจนถึงปากคลองท่าชนะด้านเหนือราว ๒๐-๒๕ กิโลเมตร
ขวานหินมีบ่า ขนาดความยาว ๔๙ เซนติเมตร พบที่ริมคลองท่าไม้แดง1
ตามแนวนี้ทั้งสองฝั่งถนนของชาวบ้านเลียบ ‘เขาประสงค์’ จากแนวปากคลองท่าชนะ คือบริเวณที่มีการผลิตลูกปัดและสินค้าทรงคุณค่าต่างๆ โดยแหล่งที่พบตั้งอยู่บริเวณ ‘สันทรายเก่า’ ที่เป็นทรายคุณภาพในระดับทรายแก้ว [Glass sand] ทีเดียว โดยพื้นที่แหล่งผลิตอยู่บริเวณชายเนินลาดเชิงเขาใหญ่หรือเขาประสงค์ อาณาบริเวณทั้งหมดของพื้นที่ทำงานหัตถศิลป์ต่างๆ เหล่านี้มีเนื้อที่เท่าไหร่นั้นยังไม่ชัดเจน ต้องสำรวจละเอียดให้ทั่วบริเวณ แต่ชาวบ้านกล่าวว่า พื้นที่แทบทุกแห่งที่พบโบราณวัตถุนับจากชั้นดินด้านบนลงไปจนถึงชั้นทรายละเอียดด้านล่างไม่เกิน ๑-๑.๕๐ เมตร ด้านล่างชั้นทรายไม่มีโบราณวัตถุปนอยู่แล้ว
วัตถุสิ่งของที่แสดงถึงการเป็นแหล่งผลิตลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติและลูกปัดแก้ว ซึ่งพบว่ามีการทำลูกปัดเป็นรูปสัญลักษณ์และรูปสัตว์สัญลักษณ์มงคลต่างๆ แบบที่นิยมในช่วงต้นพุทธกาลและพบเช่นเดียวกันกับที่เขาสามแก้วจนเป็นเอกลักษณ์และมีจำนวนมากซึ่งอยู่ในการเก็บรักษาของนักสะสม
อีกทั้งยังพบชิ้นส่วนของรอกทดแรงทำจากดินเผา ชิ้นส่วนของลูกปัดหินที่ยังคงมีหัวเหล็กหักค้างสำหรับเจาะ ซึ่งน่าจะตรวจดูว่าที่ด้านปลายเป็นหัวเจาะทำจากเพชรหรือไม่ แม่พิมพ์สำหรับขึ้นรูปแหวนที่มีการประทับรูปสัญลักษณ์แบบนันทิยาวัตตะหรือตรีรัตนะ และวัตถุอื่นๆ จำนวนมาก โดยลูกปัดหินจากแถบท่าชนะนี้ได้ชื่อว่ามีความใส สวย สะอาดหรือที่เรียกในหมู่นักสะสมว่ามีน้ำงาม
ต้นน้ำคลองท่าไม้แดง ก่อนไหลมารวมกับคลองไชยา
ยังมีการพบชิ้นส่วนแม่พิมพ์ต่างๆ ที่ยังไม่ทราบรูปแบบ เครื่องทองต่างๆ ทั้งที่ทำแบบตันและกลวง บางชิ้นทำแบบแท่งกลวงและใช้การขึ้นรูปถักร้อยที่หลายชิ้นแทบจะเหมือนแบบเดียวกับทางภูเขาทองฝั่งอันดามัน ซึ่งแสดงถึงการเดินทางติดต่อกันอย่างแน่แท้ระหว่างฝั่งอันดามันทั้งที่เขมายี้และภูเขาทองกับทางท่าชนะ แหวนทองคำที่มีหัวแหวนเป็นหินกึ่งรัตนชาติ หัวธนูทำจากสำริด ชิ้นส่วนของเบี้ยทำจากกระดองเต่าที่อาจใช้ในการเล่นสกา เศษเครื่องปั้นดินเผาแบบฮั่นที่มีลายประทับต่างๆ ที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งน่าจะมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๘ เศษภาชนะแบบราชวงศ์ถังในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เพราะก็อยู่ไม่ห่างจากแหลมโพธิ์ที่อ่าวบ้านดอน ซึ่งพบเศษภาชนะในยุคสมัยนี้เป็นจำนวนมาก และเครื่องประดับรูปพระจันทร์เสี้ยวและดาวที่เป็นรูปสัญลักษณ์ในทางศาสนาอิสลามและนิยมกันมากในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑
นอกจากนี้ที่น่าสนใจคือการพบชิ้นส่วน ‘ลูกปัดแก้วที่มีฟอยล์สีทองด้านใน' [Gold-foil glass bead] เป็นรูปเทพปกรณัมแบบกรีก-โรมัน ซึ่งเป็นเทคนิคการทำลูกปัดฟอยล์สีทองในยุคแรกอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๗
มีการพบกลุ่มพระพิมพ์จำนวนหนึ่งในชั้นดินที่อยู่ในบริเวณที่ราบริมน้ำใกล้เชิงเขา และพบที่เดียวในบริเวณท่าชนะที่มีการประดิษฐานพระพุทธรูปและร่องรอยของพระพุทธรูปหินทรายแบบไชยาตอนปลายในถ้ำเขาประสงค์ ซึ่งมีถ้ำลักษณะเช่นนี้กว่า ๒๐ แห่ง ซึ่งมีการแตกหักเสียหายทั้งหมด เป็นการพบพระพิมพ์ที่ไม่ได้นำไปใส่ไว้ตามถ้ำเพราะอาจแตกหักเสียหายมาแต่ในอดีตแล้ว เป็นพระพิมพ์เนื้อดินพิมพ์พระพุทธเจ้าปางสมาธิ และประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นบัลลังก์และอาจมีพระพุทธเจ้าห้าพระองค์โดยรอบ ซึ่งเป็นพระพิมพ์แบบศรีวิชัยที่พบในแถบพุนพินและควนสราญรมย์ที่อยู่ต่อเนื่องในเขตอ่าวบ้านดอนลงไป นอกจากนี้บริเวณใกล้กันยังพบเหรียญเพนนีทองแดงในระดับชั้นดินใกล้กัน พบการเขียนสลักลงในเนื้อเหรียญเป็นภาษาอังกฤษที่อาจมีอายุไม่มากนักและอาจเรียกว่าเป็น Luck Penny แสดงให้เห็นถึงความปะปนการใช้งานในพื้นที่บริเวณเขาประสงค์และท่าชนะที่อาจมีการขุดค้นหาของเก่ามาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า ๒๐๐ ปีก็ได้ เพราะเขาประสงค์เป็นจุดผ่านหรือจุดแวะพักของนักเดินทางชาวเรือมาตลอดทุกยุคสมัย ดังที่พบวัตถุที่มีความแตกต่างหลากหลายที่มา ความเชื่อและช่วงเวลา จนการเดินทางทางทะเลนั้นเลิกไปเมื่อราวร้อยปีก่อน
ความสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้บริเวณในโรงเรียนท่าชนะห่างจากปากน้ำหาดสวนสนราว ๕ กิโลเมตร ที่พบแนวพื้นที่สี่เหลี่ยมบางส่วนที่น่าจะเป็น Citadel ของชุมชนโบราณอีกแห่งหนึ่ง เพราะพบศาสนวัตถุแบบฮินดู พบเอกมุขลึงค์และเศียรพระวิษณุซึ่งมีแนวคิ้วต่อกันแบบการรับรูปแบบทางวัฒนธรรมที่นิยมสร้างพระพุทธรูปแบบยุคทวารวดีทางภาคกลาง และอาจจะมีเทพอื่นๆ ที่สวมเครื่องประดับศีรษะแบบเทริดขนนก โดยน่าจะมีความร่วมสมัยกับชุมชนพุทธศาสนาที่เมืองไชยาในยุคสมัยศรีวิชัยแรกๆ หรือในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔
บริเวณนี้อาจจะเป็นลักษณะของชุมชนช่างฝีมือที่แบ่งออกมาจากทาง ‘เขาสามแก้ว’ หรือจากกลุ่มช่างทางแถบ ‘บางกล้วย/ภูเขาทอง’ หรือแถบ ‘เขมายี้’ ทางฝั่งอันดามัน แต่ทั้งหมดนี้คือช่างฝีมือที่มีฝีมือและแนวคิดในการผลิตสิ่งของที่เป็น ‘เครือข่ายแบบเดียวกัน’ เดินทางข้ามไปมาในระหว่างคาบสมุทรโดยการพึ่งพิงชุมชนและผู้คนในกลางแผ่นดินตามแถบเทือกเขาและที่สูงและตามลำน้ำ โดยใช้พาหนะที่แน่นอนคือ ‘เรือขุด’ และการเดินทางด้วย ‘ช้าง’ อาจจะสั่งนำวัตถุดิบขนส่งมาจากแหล่งเดียวแล้วแจกจ่ายออกไป
ช่างฝีมือแถบ ‘ท่าชนะ’ อาจจะพิถีพิถันคัดเลือกวัตถุดิบได้ดีกว่าหรือมีโอกาสมากกว่า จึงสามารถผลิตชิ้นงานที่ดูสวยงามกว่าเล็กน้อยก็เป็นได้ และบริเวณนี้ยังสามารถเดินทางเข้าสู่ดินแดนที่มีแหล่งทรัพยากรภายในที่รอบอ่าวบ้านดอนไปยังต้นน้ำพุมดวงและแม่น้ำตาปี ซึ่งพบร่องรอยของการเป็นแหล่งแร่ดีบุก โดยที่พบมโหระทึกทางด้านในแถบริมแม่น้ำพุมดวงที่อำเภอพุนพินและที่ไชยารวมทั้งด้านหลังเขาหลวงที่ฉวาง ส่วนบริเวณริมชายฝั่งทะเลนั้นก็พบด้านหน้าเขาหลวงตั้งแต่ที่สิชล ท่าศาลา จนถึงแถบอำเภอเมืองบ้านท่าเรือ และเรื่อยลงมาจนถึงจะนะและตรังกานู
กลุ่มพิเศษ
อย่างไรก็ตาม พื้นที่อีกบริเวณหนึ่งที่น่าสนใจและอาจจะเป็นกลุ่มที่มีอายุร่วมสมัยในราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๖ หรือหลังจากนั้น ในบริเวณช่วงต้นของแผ่นดินบกที่ทะเลสาบสงขลาด้านบนที่พบหลักฐานประเภทลูกปัดที่ทำจากหินกึ่งมีค่า ใกล้ชายฝั่งทางอ่าวไทย เช่น ที่ริมคลองบ้านโคกทอง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นคลองขุดเชื่อมชายฝั่งทะเลอันดามันและทะเลสาบสงขลา เป็นเส้นทางเก่าที่ใช้มาโดยตลอดทุกยุคสมัย การพบหลักฐานในยุคสุวรรณภูมิ แสดงถึงในบริเวณที่ต่ำลงมาจากแนวคอคอดกระ
โดยบริเวณนี้น่าจะผ่านไปทางเขาปู่เขาย่าในจังหวัดพัทลุง ข้ามเขาผ่านไปยังอำเภอนาโยงและอำเภอห้วยยอด ในย่านนี้มีแหล่งทรัพยากรที่เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญที่อยู่บริเวณเทือกเขาหินปูน ริมแม่น้ำตรังหลายแห่ง โดยน่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรดีบุก และสัมพันธ์กับคลองท่อมที่น่าจะเป็นเมืองท่าการค้าขนาดใหญ่ในยุคคาบเกี่ยวกับยุคสุวรรณภูมิ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒-๗ และหลังจากนั้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ที่มีความเคลื่อนไหวทางการค้าและสร้างผลผลิตมากในแถบคอคอดกระและคลองท่อมเติบโตขึ้นแทนที่ในยุคต่อมา และน่าจะเป็น ‘เมืองท่าตักโกลา’ ที่เจริญขึ้นมาจนกลายเป็นเมืองท่าแบบเอมโพเรียอย่างเต็มที่ ทดแทนเมืองกึ่งก่อนเมืองท่าในบริเวณคอคอดกระในยุคที่ปโตเลมีบันทึกไว้ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ แล้ว
อีกประการหนึ่งก็คือ ความสำคัญของแร่ธาตุในภูมิภาคนี้ น่าจะเป็นความขึ้นชื่อของแหล่งทรัพยากรสำคัญในบริเวณคาบสมุทรและแผ่นดินภายใน โดยเฉพาะพื้นที่ในประเทศไทย ที่มักพบแหล่งโบราณคดีที่ใช้ขวานหินขนาดใหญ่ หรือขวานจงอยปากนกหรือขวานผึ่งขนาดยาวใหญ่ ในบริเวณพื้นที่ภายในภูเขาหรือเทือกเขาต่างๆ และเป็นแหล่งที่มีทรัพยากร เช่น ดีบุกที่มากับลำน้ำตามธรรมชาติ โดยการใช้เครื่องมือหินขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นหลักในการผลิตเพื่อร่อนแร่แบบเก่าแก่ที่สุดที่ยังไม่ต้องใช้เครื่องทุ่นแรงอื่นๆ ในการผลิต
จากการศึกษาพื้นที่และโบราณวัตถุต่างๆ ที่พบในบริเวณคอคอดกระและเส้นทางต่างๆ มีข้อเสนอและสรุปได้ว่า แม้จะมีกลุ่มเส้นทางข้ามคาบสมุทรหลายแห่ง และจัดกลุ่มได้ในแนวระนาบที่ต่างกัน และเกิดขึ้นเหลื่อมเวลากันเล็กน้อย เมื่อวิเคราะห์จากหลักฐานที่ปรากฏ แต่จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นหรือฮั่นซูกล่าวถึงการเดินทางข้ามคาบสมุทรและเรียกเมืองท่า ที่ในทางระดับของความเจริญน่าจะเป็นเมืองท่ายุคแรกเริ่มที่ก่อตัวและสัมพันธ์กันอย่างหลวมๆ ซึ่งยังไม่มีระบอบราชามหากษัตริย์ แต่ก็เป็นเมืองท่านานาชาติในระดับที่มีผู้ควบคุม ซึ่งตรงนี้ควรหารูปแบบทางระดับสังคมเพื่ออธิบายในความสัมพันธ์เหล่านี้ แต่ก็รูปแบบบ้านเมืองแบบเมืองท่าแบบ Thalassocracy ในยุคเริ่มแรกก็ได้
กลุ่มแรกที่เกิดเส้นทางข้ามคาบสมุทรคือจากปากคลองท่าตะเภาริมฝั่งอ่าวไทยถึงเขมายี้ในสหภาพเมียนมา เป็นเส้นทางเริ่มแรก ในฮั่นซูเรียกบริเวณที่เป็นชุมชนเมืองหรือเมืองท่าทางฝั่งอ่าวไทยว่า เซินหลี่ [Shin-li]
กลุ่มที่สองที่เป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรในยุคต่อมาคือเส้นทางบริเวณปากน้ำหลังสวน เขาเสก คลองพะโต๊ะที่ตัดข้ามไปยังเมืองใกล้ชายฝั่งอันดามันที่คลองบางกล้วยในจังหวัดระนอง เมืองบริเวณนี้อยู่ในที่สูงของชายตลิ่ง เป็นเนินสูงจากแนวลำน้ำที่ต่อเนื่องออกไปทะเลได้ บางส่วนก็มีการขุดคูคันสูงป้องกันได้รอบด้าน และไม่ไกลจากปากคลองบางกล้วยที่พบเรือจมที่ปากคลองอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๕ และน่าจะเป็นเรือที่เหลือหลักฐานปรากฏว่ามีอายุเก่าที่สุดลำหนึ่งในเอเชียทีเดียว
เมืองที่คลองบางกล้วย ในจังหวัดระนองอาจจะเรียก ฟู-กัน-ตู-ลู [Fu-kan-tu-lu] ในฮั่นซูได้อย่างยิ่ง ซึ่งการเดินทางที่บันทึกไว้ในฮั่นซูเมื่อ พ.ศ. ๔๓๒ ที่ใช้เวลาเดินทางจากเซินหลี่ซึ่งเป็นการเดินทางทางบกหรือข้ามคาบสมุทรราว ๑๐ วัน บริเวณเมืองที่ริมคลองบางกล้วยก็น่าจะเป็นไปได้มาก เพราะเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถเดินทางข้ามคาบสมุทรและแลกเปลี่ยนทรัพยากรได้หลายทิศทาง เช่นทางต้นน้ำพะโต๊ะและคลองพะโต๊ะสู่ปากน้ำหลังสวนและข้ามสู่คลองปากหมาก ไชยาและท่าชนะ ซึ่งสามารถติดต่อกับชุมชนทรัพยากรภายในที่เทือกเขาหลวงได้ตามทิศทางของแม่น้ำตาปีและแม่น้ำพุมดวง รวมทั้งสามารถเดินทางออกสู่ทะเลในอ่าวไทยที่จะเลียบชายฝั่งสู่ปากน้ำต่างๆ และชุมชนภายในกลุ่มใหญ่ที่บริเวณเขาทะลุจนถึงปากน้ำตะโกและปากน้ำสวีได้อย่างสะดวกเช่นกัน
ที่มาภาพ
1สารัท ชลอสันติสุข, อภิรัฐ เจะเหล่า, ชาคริต สิทธิฤทธิ์. รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ชุมพร เล่ม ๑, สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช, ๒๕๕๗.
2Embassy to the courts of Siam and Cochin-China.John Walker - John Crawfurd: Journal of an Embassy from the Governor-General of India to the courts of Siam and Cochin China Exhibiting a view of the actual state of these kingdoms London, Henry Colburn, 1828
อ้างอิง
ธวัชชัย ชั้นไพศาลศิลป์. ก่อนประวัติศาสตร์-แรกเริ่มประวัติศาสตร์ ที่ตำบลในวงเหนือ-ในวงใต้ อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง, ๔ มิถุนายน ๒๕๖๔. https://www.facebook.com/nakonsrifad14/posts/pfbid021vuTwdRmsk9X1bvjAsEoW 5iQh7TbCgUgveaFrfjyxFZkEvg4cdMVoVn6G1kcmAhdl)
สารัท ชลอสันติสุข, อภิรัฐ เจะเหล่า และชาคริต สิทธิฤทธิ์. รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ชุมพร เล่ม ๑, สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช, ๒๕๕๗.
Anna Bennet. Suvanabhumi ‘Land of Gold’ in Suvanabhumi : The Golden Land, First Edition June 2019, Published by GISTDA and BIA.
http://www.bradley.edu/campusorg/psiphi/DS9/ep/503r.html
Bérénice Bellina (ed.). Khao Sam Kaeo. An early port-city between the Indian Ocean and the South China Sea. Mémoires Archéologiques 28 . 2017. Paris: École française d’Extrême- Orient
Sila Tripati and L. N. Raut. Monsoon wind and maritime trade: a case study of historical evidence from Orissa, India Current Science, Vol. 90, No. 6, 25 March 2006.
Thomas Oliver Pryce, Bérénice Bellina. High-tin bronze bowls and copper drums: Non-ferrous archaeometallurgical evidence for Khao Sek’s involvement and role in regional exchange systems, Archaeological Research in Asia, 2017. http://dx.doi.org/10.1016/j.ara.2017.07.002
Wang Gungwu. The Nanhai Trade: A Study of the Early History of Chinese Trade in the South China Sea, Malaysian Branch of the Royal Asiatic Society, 1958. https://www.jstor.org/stable/41503138]