รู้จัก “หนังใหญ่” หัตถกรรมชั้นครู ที่ใกล้สูญหาย
“หนังใหญ่” การแสดงที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทย ที่เรียกว่า “หนัง” นั้นเพราะสิ่งที่ใช้แสดงเป็นตัวหนัง ทำมาจากหนังวัว หนังควาย แกะสลักเป็นรูปบุคคล สัตว์ สถานที่และสิ่งประกอบการแสดง เกิดจากภูมิปัญญาและทักษะความชำนาญฝีมือช่างที่มีความพิถีพิถันในการแกะและตอกเป็นรูป โดยมีผู้ถือเชิดให้เกิดเงาปรากฏบนจอผ้าขาวที่มีแสงไฟส่องจากด้านหลัง มีวงดนตรีปี่พาทย์บรรเลงประกอบลีลาการเชิดของคนเชิดที่ต้องตามจังหว่ะดนตรี และการใช้คำพากย์เจรจาเป็นบทในการดำเนินเรื่อง
โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นมหรสพชั้นสูงของไทยที่มีมาแต่สมัยโบราณ เพราะเป็นหนึ่งในการแสดงที่จะต้องจัดให้มีการแสดงทุกครั้ง เมื่อมีงานสำคัญของบ้านเมือง อาทิ พระราชพิธีอภิเษกของกษัตริย์และเจ้านาย พระราชพิธีเกี่ยวกับความตาย งานสมโภชต่างๆของบ้านเมือง สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยมักแสดงเรื่องรามเกียรติ์เช่นเดียวกับการแสดงโขน เป็นการสรรเสริญพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ และสอดแทรกหลักคุณธรรมจริยธรรมไปในการแสดง ที่เปรียบดั่งพระนารายณ์อวตาร โดยหนังใหญ่เกิดจากการผสมผสานของศิลปะชั้นสูงหลากหลายแขนง ทั้งหัตถศิลป์ วรรณศิลป์ วาทศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และนาฏศิลป์
“หนัง” หรือการที่มนุษย์เล่นกับเงา ปรากฎให้เห็นอยู่ในหลายชุมชน หลายวัฒนธรรม และหลากหลายภูมิภาคของโลก ในโลกตะวันออกมีการเล่นหนังเป็นมหรสพมากกว่าสองพันปีและดูเหมือนจะเกิดขึ้นพร้อมๆกันในหลายประเทศ เช่น อินเดีย จีน อียิปต์ ตุรกี เป็นต้น โดยไม่อาจกล่าวได้ว่าใครเป็นต้นแบบหรือว่าใครรับอิทธิพลของใครมา
มีนักวิชาการและผู้ที่ศึกษา “หนัง” ของไทย สันนิษฐานว่า หนังใหญ่ของไทยอาจมีที่มาได้จาก ๓ แหล่ง ซึ่งอาจเข้ามาทั้งโดยตรงหรือโดยทางผ่าน ดังนี้
ตัวละครนนทกถือกระบวนตักน้ำ ในเรื่องรามเกียรติ์
แหล่งที่ ๑ อารยธรรมอินเดีย ที่เป็นแม่บทของนาฏศิลป์ ดนตรี วรรณกรรม ที่เผยแพร่มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับพันปี
แหล่งที่ ๒ วัฒนธรรมชวา จากดินแดนทะเลใต้ ในสมัยศรีวิชัย
แหล่งที่ ๓ วัฒนธรรมเขมร ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐
แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้สรุปว่า การแสดงด้วยตัวหนังขนาดใหญ่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่เรียกว่า “วาหยัง” ล้วนมีต้นเค้าจากการแสดง ฉายานาฏกะ จากอินเดีย ที่มีหลักฐานปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา เถรีกถา และคัมภีร์มหาภารตะ (ราศี บุรุษรัตนพันธ์, ๒๕๕๑, น.๖)