ตำแหน่งที่ตั้งของวารี-บาเตชวาร์ บริเวณลุ่มน้ำพรหมบุตรเก่า
ใกล้กรุงตักกา ในบังกลาเทศ
ใน ‘พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อง เสด็จประพาสแหลมมลายู’ ทรงพระราชาธิบายเรื่อง การเดินทางข้ามคาบสมุทร ไว้ว่า จากปากน้ำชุมพรเข้ามาถึงคลองท่าตะเภา จากจุดนี้ (บริเวณบ้านปากแพรก หน้าวัดปากแพรกแยกไปทางขวา) มีลำน้ำ (คลองท่าแซะ) แยกไปทาง ‘ท่าแซะ’ ไปยัง ‘ปะทิว’ ที่มีเหมืองแร่ดีบุกและทองคำและเดินทางไปยังบางสะพานได้
ส่วนทางซ้ายไปทาง ‘คลองรับร่อ’ ไปต่อกับแนวเขาที่กั้นเมืองกระ ส่วนลำน้ำอีกสาย ที่ใกล้กับ ‘คลองท่าตะเภา’ เรียกว่า ‘คลองชุมพร’ ปลายน้ำออกปากอ่าวสวีเก่า ส่วนต้นน้ำไปถึงแนวสันปันน้ำที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของหินสลักพระปรมาภิไธย จปร. จากนั้นใช้เรือไปยัง ‘คลองกระลี้’ หรือ ‘คลองหลีก’ ไปยัง ‘ลำน้ำจั่น’ ที่ปากจั่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองกระโบราณ ผ่านตำบลน้ำจืดริมคลองกระซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่และเป็นที่ตั้งของอำเภอกระบุรี จนถึงปากคลองพระขยางและปากคลองเขมาที่อยู่ตรงข้ามกัน ส่วนปากคลองเขมายี้เป็นลำน้ำอยู่แถวกลุ่มเกาะกลางลำน้ำกระที่เกาะขวาง แถบละอุ่น และเสด็จต่อไปยังปลายแหลมเกาะสองก่อนข้ามปากน้ำกระเข้าเมืองระนอง
ในพระราชนิพนธ์ดังกล่าวทำให้เห็นภาพร่างของการเดินทางเพื่อ ‘ข้ามคอคอดกระ’ ซึ่งแนวคิดของชาวตะวันตกที่ต้องใช้เส้นทางเดินเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งคาบสมุทรและหมู่เกาะมีแนวคิดเรื่องการข้ามคอคอดกระนี้มาโดยตลอด จากแผนที่เก่าของชาวตะวันตกโดยเฉพาะแผนที่ พ.ศ. ๒๓๖๓-๒๓๗๒ ของคณะทูตจอห์น ครอเฝิร์ด ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงรายละเอียดในเส้นทางข้ามคาบสมุทรที่คอคอดกระ โดยเขียนข้อมูลลงในแผนที่ว่า เส้นทางจากลำน้ำกระบุรีถึงปากน้ำชุมพรระบุว่า ใช้เวลาเดินทางในสมัยนั้นราว ๔ ชั่วโมงเท่านั้น และน่าจะเป็นการเดินทางบกที่ใช้ช้างจากเมืองชุมพรผสมผสานกับการเดินทางน้ำแบบล่องแก่งในส่วนของสันปันน้ำทางตะวันตกแถบเมืองระนองตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชาธิบายข้างต้น
โดยไม่ใช้คลองชุมพรเก่าที่น่าจะไม่สะดวกทั้งการเดินทางสู่ต้นน้ำและการเดินทางออกสู่แนวชายฝั่งทะเลเมื่อเทียบกับลำคลองท่าตะเภาที่น่าจะมีการใช้งานในเส้นทางนี้มานานเมื่อย้อนเวลาไปถึงการเดินทางข้ามคาบสมุทรยุคแรกในสมัยสุวรรณภูมิในระยะเวลาที่ห่างกันกว่าสองพันปี
จากแนวทางดังกล่าว เมื่อทำการสำรวจพื้นที่และร่องรอยของการตั้งถิ่นฐานจากข้อมูลการศึกษาทางประวัติศาสตร์โบราณคดีนานาชาติและรายงานการสำรวจทางโบราณคดีในบริเวณคาบสมุทรไทย ทำให้มีสมมติฐานของ ‘เส้นทางการเดินทางข้ามคาบสมุทรบริเวณคอคอดกระ’ ในเบื้องต้นดังต่อไปนี้
เส้นทางที่ ๑. เขมายี้-เขาสามแก้ว
หากเดินเรือเลียบชายฝั่งมาจากอ่าวเบงกอลจากอนุทวีปอินเดีย เพื่อมีวัตถุประสงค์ไปยังดินแดนสุวรรณภูมิหรือทางทะเลจีนใต้และดินแดนทางตะวันออกในยุคเริ่มแรก มีข้อสันนิษฐานจากนักวิชาการจากอินเดีย เช่น [Sila Tripati, L. N. Raut, 2006. และ Duraiswamy Dayalan, 2019] ศึกษาเส้นทางเดินเรือเก่าและระบบลมตามธรรมชาติที่ช่วยพัดพาเรือสินค้าจากชายฝั่งอ่าวเบงกอล เช่น โอริสสา อานธรประเทศ ทมิฬนาดูรวมทั้งเกาะศรีลังกามาสู่ดินแดนนี้โดยระบบลมในโลกนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานับหลายล้านปี
ชาวเรือที่เดินทางมาจากแถบ ‘แคว้นกลิงคะหรือรัฐโอริสสา’ ในปัจจุบันซึ่งชื่อใหม่คือ โอดิชา [Odisha] ในลุ่มน้ำมหานที [Mahanadi River] ไปจนถึงแคว้นอานธรประเทศ [Andhra Pradesh] โดยมีแม่น้ำกฤษณาและแม่น้ำโคทาวารี [Krishna and Godavari River] เป็นเส้นน้ำและการผลิตอาหารสำคัญ มีต้นน้ำอยู่ทางตอนกลางของอินเดียที่รัฐมหาราษฏระ และแถบนี้มีเมืองท่าชายฝั่งทะเลที่ทำการรับส่งสินค้ามาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
เมื่อใช้การเดินเรือเลียบชายฝั่งขึ้นไปทางเหนือผ่านแคว้นกลิงคะสู่อ่าวเบงกอลในเขตแคว้นเบงกอลตะวันออกหรือในประเทศบังคลาเทศปัจจุบัน ผ่านแหล่งโบราณคดีสำคัญในยุคร่วมสมัยกันบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำพรหมบุตรที่ ‘วารี-บาเตตชวาร์’ [Wari-Bateshwar] ซึ่งอยู่ในลุ่มสาขาของแม่น้ำพรหมบุตรเก่า