จากข้อมูลการสำรวจในพื้นที่และข้อมูลสำรวจแหล่งโบราณคดีพื้นฐานของสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช (กรมศิลปากร, รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ชุมพร เล่ม ๑, ๒๕๕๗) สามารถกำหนดเส้นทางเชื่อมแหล่งชุมชนเมืองท่าภายในขนาดใหญ่ทั้งสองฝั่งสมุทร โดยการศึกษาครั้งนี้แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม กำหนดแยกออกเป็น ๔ เส้นทาง กลุ่มละ ๒ เส้นทาง โดยมีชุมชนในระดับเมืองซึ่งเป็นทั้งแหล่งผลิตสินค้า การอยู่อาศัยถาวร ตั้งอยู่บริเวณลำน้ำด้านในในระยะห่างชายฝั่งทะเลที่สามารถเดินทางได้สะดวกทั้งทางทะเลและการเดินทางข้าม ‘คอคอด’ [Isthmus] ถือเป็นชุมชนภายในห่างชายฝั่งทะเลซึ่งมีทั้งท่าเทียบเรือ, โกดังสินค้า, ชุมชนหัตถกรรมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนหลากหลายที่มา, พื้นที่เพาะปลูกอาหาร
ซึ่งการขุดค้นทางโบราณคดีระบุว่ามีการใช้เวลาอยู่ในพื้นที่เดิม (กรณีเขาสามแก้ว) ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐-๖๐๐ ปี และในช่วงเวลานั้นปรากฏแหล่งพำนักกึ่งถาวรปรากฏอยู่ในเส้นทางติดต่อในพื้นที่และบริเวณใกล้ชายฝั่งระหว่างคาบสมุทรอีกหลายแห่ง เป็นโครงข่ายแหล่งโบราณคดีแบบต่างๆ ที่เป็นแหล่งพำนักถาวรและกึ่งถาวรอีกมากมายในพื้นที่คอคอดกระในคาบสมุทรไทยตอนบนนี้
เส้นทางทั้ง ๔ สาย ได้แก่
กลุ่มแรก (เส้นทางที่ ๑ และ ๒) ที่มีเมืองศูนย์กลางรวมผู้คนจากแดนไกลและเป็นเมืองท่าชายฝั่งในระยะแรกเริ่ม คือที่ ‘เขมายี้’ ฝั่งอันดามัน และ ‘เขาสามแก้ว’ ฝั่งอ่าวไทย โดยเห็นชัดเจนว่าเขาสามแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ลานตะพักลำน้ำ [Stream Terrace] ของคลองท่าตะเภา
บริเวณชายฝั่งทะเลของเมืองชุมพรมีพื้นที่ราบชายฝั่งที่ต่อเนื่องกับเทือกเขาตะนาวศรีและเทือกเขาภูเก็ตอยู่ในระยะราว ๑๕-๓๐ กิโลเมตรโดยประมาณ และมีเส้นทางน้ำสำคัญของพื้นที่นี้ ๓ สายที่ไหลออกสู่ทะเลในบริเวณต่างๆ คือ ‘คลองชุมพร’ ที่มีต้นน้ำจากเทือกเขาภูเก็ตในตำบลปากจั่น จังหวัดระนอง ไหลขนานไปกับถนนเพชรเกษม ที่เป็นการสร้างเลียบแนวทางเส้นทางโบราณที่ใช้ข้ามคอคอด-กระไปสู่ชุมชนชายฝั่งทะเลอันดามัน ไหลผ่าน ‘เขาถล่ม’ ที่มีรายงานการพบโบราณวัตถุตามถ้ำเพิงผา ไปยังเทศบาลขุนกระทิง ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ไหลออกทะเลที่อ่าวคลองสวีเก่าและคลองวิสัย ที่ตำบลทุ่งคา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร มีความยาวราว ๕๐ กิโลเมตร
บริเวณนี้เป็นอ่าวโคลนหรือทะเลตมขนาดใหญ่ มีการตั้งถิ่นฐานน้อยกว่าทางปากน้ำท่าตะเภาด้วยเป็นป่าชายเลนเสียมาก ย่านเมืองเก่าของชุมพรโดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาอยู่ทางพื้นที่ฝั่งตะวันตกของลำคลองชุมพร ก่อนที่จะเปลี่ยนการจัดการพื้นที่ในสมัยที่เป็นมณฑลเทศาภิบาลในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) เลือกที่ตั้งว่าการมณฑลที่ริมคลองท่าตะเภาและการติดต่อผ่านทางคลองท่าตะเภามีอ่าวขนาดพอดีที่เกาะเสม็ดที่หลบลมของเรือเลียบชายฝั่งได้ และมีเกาะมัตโพนขนาดเล็กที่ปากน้ำ และมีชายหาดทรายต่อเนื่องผ่านเขามัทรีที่เป็นแนวปะการังไปที่หาดทรายรีที่มีเกาะต่างๆ บังคลื่นลมได้ดี การเลือกใช้ลำน้ำท่าตะเภาจึงเป็นการเคลื่อนจากที่ตั้งของเมืองชุมพรเดิมให้มีความสะดวกสำหรับการเดินทางจากปากน้ำเข้าสู่แผ่นดินภายใน
แผนที่เมืองท่าชายฝั่งอ่าวเบงกอล อนุทวีปอินเดีย แสดงที่ตั้งเมืองท่า ศูนย์กลางทางพุทธศาสนา
และศูนย์กลางทางการค้าที่มักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน บริเวณรัฐโอดิสาและรัฐอานธรประเทศ
ในช่วงสมัยประวัติศาสตร์ของอินเดียที่เริ่มตั้งแต่ระหว่าง ๒,๕๐๐-๒,๑๕๐ ปีมาแล้ว
ส่วน ‘คลองท่าตะเภา’ มีต้นน้ำจากบริเวณแนวเทือกเขาตะนาวศรี ต้นน้ำมาจากลำน้ำในเทือกเขาต่างๆ ที่ไหลลง ‘คลองรับร่อ’ ที่เป็นชื่อของคลองท่าตะเภาที่อยู่บริเวณภายในติดกับแนวเขา บริเวณนี้เป็นปลายสุดของแนวเทือกเขาตะนาวศรีที่ต่อกับเทือกเขาภูเก็ต พื้นที่จึงเป็นที่รับน้ำจากฝั่งเขาตะนาวศรีด้านในที่เป็นพรมแดนติดต่อกับสหภาพเมียนมา ลำน้ำจึงมีมาก ไหลแรงในช่วงฤดูน้ำ ลำน้ำแยกสายออกจากคลองท่าตะเภาทางตอนใต้ของบ้านสามแก้วคือ ‘คลองพนังตัก’ ที่ไหลออกสู่ทะเลที่อ่าวพนังตักซึ่งเป็นอ่าวเล็กๆ ชายหาดทรายแผ่กว้างและอ่าวตื้น เงียบสงบ เพราะมีแหลมคอกวางกันคลื่นลม จึงมีชุมชนชาวประมงขนาดเล็กๆ โดยมาก มี ‘แหลมคอกวาง’ ที่มีเกาะปะการังกั้นระหว่างอ่าวพนังตักและหาดทรายของอ่าวทางปากน้ำท่าตะเภา