ซึ่งพบต่อเนื่องไปตามลำน้ำนี้ที่ชาวบ้านเคยเรียกว่าแม่น้ำวังลึก แม่น้ำวังกุหล่า และคลองปากน้ำ คลองควาย ที่มีลำน้ำต่อไปถึงแพรกศรีราชาและเมืองโบราณดงคอนในอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท คลองสีบัวทองที่ต่อเนื่องไปถึงเมืองคูเมืองที่บ้านพักทัน อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เมืองคูเมืองที่ทุ่งคลี อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ลงไปจนถึงบ้านคูเมืองที่อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเมืองโบราณเหล่านี้ยกเว้นเมืองแพรกศรีราชา สืบเนื่องมาแต่ยุคทวารวดีและเข้าสู่ยุคสมัยลพบุรีที่รับอิทธิพลพุทธศาสนาแบบมหายานแบบปาละโดยเฉพาะในสมัยยุคราชวงศ์ซ่งทั้งซ่งเหนือและซ่งใต้
พบโบราณวัตถุและศาสนสถาน ปูนปั้นประดับศาสนสถานที่ไม่น่าจะมีขนาดใหญ่โตนัก ตามเส้นทางลำน้ำสายเล็กเหล่านี้ระหว่างแม่น้ำน้อยและแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มีลำน้ำจักรสีห์ที่ต่อเนื่องมาจากลำน้ำการ้องและแม่ลาไปสู่เมืองสิงห์และเมืองพรหมเป็นเมืองซึ่งมีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยทวารวดีและพบหลักฐานเศษภาชนะแบบราชวงศ์ซ่งเหนือและใต้ รวมทั้งเครื่องปั้นดินเผาแบบบุรีรัมย์ จากบริเวณเมืองพรหมบุรีฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้ลำน้ำสายในคือคลองบ้านแป้งและคลองบางน้ำเชี่ยวเดินทางไปสู่บ้านแพรกเข้าสู่ลำน้ำลพบุรีสู่เมืองละโว้ทางด้านเหนือได้ การเดินทางก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ใช้เส้นทางนี้ก่อนที่จะขุดคลองลพบุรีไปต่อคลองบางพุทราและออกแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่เหนือเมืองพรหมไปเล็กน้อย
ส่วนเมืองแพรกศรีราชาน่าจะเป็นเมืองในรุ่นหลัง ซึ่งการขุดค้นทางชั้นดินในเมืองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นในยุคราชวงศ์ซ่งใต้หรือราชวงศ์หยวน ซึ่งหากเป็นในระยะหลัง การเป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญของสหพันธรัฐเจนลีฟูนั้น เคลื่อนจากบ้านเมืองในลุ่มน้ำภายในที่เต็มไปด้วยบึงน้ำกุดสายน้ำมาเป็นเส้นทางน้ำใหญ่ขึ้น สะดวกแก่การเดินทางสู่บ้านเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะลำน้ำสู่ปากน้ำชายฝั่งทะเล เหมาะสมแก่การเดินทางหรือการเป็นนครรัฐที่มีความสำคัญสำหรับการเดินทาง การค้า และการปกครอง การสร้างแนวคันริมเป็นกำแพงเมืองและคูน้ำขนาดใหญ่กว่าเมืองรูปสี่เหลี่ยมในรุ่นก่อนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำน้อยนั้นถือเป็นพัฒนาการของนครรัฐที่เติบโตขึ้นเนื่องจากเหตุผลดังที่กล่าวมา
ส่วนเมืองสำคัญที่น่าจะเป็นที่ตั้งของพระราชาแห่งเจนลีฟู จึงน่าจะอยู่ในบริเวณชุมชนริมลำน้ำในเขตเมืองแพรกศรีราชา อาณาบริเวณเมืองโบราณดงคอนที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีกลุ่มเมืองขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีวัดเก่าในสมัยอู่ทองหรือลพบุรีอีกสองสามแห่งหรือบริเวณเมืองโบราณบ้านคูที่ตำบลพักทัน ซึ่งไม่ไกลระหว่างแม่น้ำน้อยและลำน้ำสีบัวทอง
กลุ่มเมืองเหล่านี้ตั้งแต่บริเวณเมืองแพรกศรีราชาลงไปจนถึงย่านริมแม่น้ำสุพรรณและท่าว้า ลำน้ำต่างๆ ทางลุ่มน้ำสีบัวทอง แต่ละแห่งเป็นชุมชนขนาดเล็กๆ ไม่ใหญ่โต และบางแห่งเป็นเมืองโบราณสืบมาตั้งแต่สมัยทวารวดี จำนวนน่าจะถึง ๖๐ แห่งในจดหมายเหตุจีน ‘ซ่งฮุยเหยา’ เป็นไปได้มากที่จะเป็นนครรัฐเจนลีฟูที่ส่งทูตไปยังราชสำนักจีนในช่วง พ.ศ. ๑๗๔๓ - ๑๗๔๘
เมื่อพิจารณาจากการกระจายตัวของโบราณวัตถุที่พบ เนื่องจากพบโบราณวัตถุที่ฝังในไหทั้งพระบูชาและพระเครื่องพระพิมพ์โลหะทั้งสัมฤทธิ์และเนื้อชินและเนื้อตะกั่วจำนวนมาก ไหที่ฝังจากที่พบจากบริเวณบ้านหนองแจง, บ้านดอนกระโดน และไหที่พบจากการฝังในบริเวณบ่อบำบัดน้ำเสียสถาบันราชภัฎลพบุรีน่าจะเป็นไหสมัยซ่งเหนือ อาจกล่าวได้ว่าพบวิธีฝังไหในพื้นดินทั่วบริเวณพื้นที่ระหว่างแนวเทือกเขาของอำเภออู่ทองขึ้นไปตามฝั่งขวาของลำน้ำท่าว้าในพื้นที่ราบเชิงเขาของอำเภอดอนเจดีย์ขึ้นไป จนถึงอำเภอด่านช้าง
จึงน่าจะมีกิจกรรมต่อเนื่องกับเส้นทางที่ต้องพึ่งพาผู้คน ซึ่งอยู่อาศัยบนที่สูงเช่นชาวละว้าให้เดินทางข้ามช่องเขาติดต่อกับผู้คนในที่ราบในเครือข่ายของนครรัฐเจนลีฟู ซึ่งบันทึกถึงความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งควรมีพื้นฐานมานานก่อนหน้านั้น
โบราณวัตถุทางวัฒนธรรมที่ฝังในไห พบทั้งพระบูชาและพระเครื่องและพระพิมพ์โลหะทั้งเนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อชินและเนื้อตะกั่วจำนวนมาก พระบูชาส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัมฤทธิ์เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยในซุ้มเรือนแก้วใบระกาแบบพุกามที่ได้รับอิทธิพลปาละ แต่ที่มีอัตลักษณ์เด่นคือมีต้นไม้ที่อาจจะเป็นต้นสาละเลื้อยคลุมเหนือซุ้มใบระกาอีกที ฐานมีครุฑ สิงห์ แบก ซึ่งเลียนแบบฐานของสถาปัตยกรรมแบบทวารวดี
เช่นที่วัดหน้าพระเมรุ เมืองนครปฐมโบราณ พระพุทธรูปบ้างสวมเทริดขนนกแบบปาละ บ้างเป็นแบบอู่ทอง รวมทั้งมีพระพุทธรูปยืนแบบปางวิตรรกะและแบบปางประทานอภัยที่พบมาก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นางปรัชญาปารมิตา พระโพธิสัตว์วัชรธร เหวัชระทั้งเพศชายและหญิง พระนารายณ์และพระอิศวร ทั้งหมดนี้ได้รับอิทธิพลพระพุทธรูปแบบปาละ บางองค์สืบเนื่องจากสมัยทวารวดีค่อนข้างชัดเจน บางองค์มีลักษณะศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากเมืองพระนคร พระพุทธรูปและเทวรูปทำจากการหล่อสัมฤทธิ์ฝีมือแบบท้องถิ่น บ้างก็เป็นชิ้นที่มีความงามและความหมายมากดังที่พบบริเวณเมืองโบราณหลังเขาสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี เป็นต้น