ประเพณีฝังศพครั้งที่สอง สืบเนื่องเรื่อยมาจนเข้าสู่ยุคต้นประวัติศาสตร์ที่มีวัฒนธรรมทวารวดี เจนละ และลพบุรีผ่านเข้ามา การมองภูมิวัฒนธรรม ด้วยรูปแบบลักษณะของวัฒนธรรมท้องถิ่นนั่นเอง ซึ่งอาจารย์ศรีศักร ได้ขยายความถึงความสืบเนื่องว่า
‘….ความเป็นท้องถิ่นของทุ่งกุลานั้น เห็นได้จากการเป็นบริเวณท้องทุ่งราบที่มีน้ำท่วมถึงในฤดูฝน แต่กลับแห้งแล้งเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและทรายในฤดูแล้ง ลำน้ำที่หล่อเลี้ยงชุมชนมนุษย์ในบริเวณนี้ ก็ไม่ใช่ลำน้ำมูลและลำน้ำชี หากเป็นลำน้ำลำห้วยสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากที่สูงทางฝั่งใต้ของลำน้ำชี ผ่านท้องทุ่งกุลาไปรวมกับลำน้ำมูลทางด้านตะวันออกเฉียงใต้
สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับประเพณีฝังศพครั้งที่สองในยุคนี้ก็คือ เป็นสิ่งที่เข้ากันได้ดีกับบรรดาหม้อหรือไหที่บรรจุอัฐิคนตาย หลังจากการเผาศพแล้ว ของผู้คนที่นับถือพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู ในสมัยทวารวดีและลพบุรี หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ประเพณีการฝังอัฐิในหม้อ ไห รวมทั้งตามสถูปธาตุนั้นก็คือประเพณีฝังศพครั้งที่สองเช่นเดียวกัน
เมืองสำคัญในสมัยทวารวดีและเจนละหลายแห่งที่อยู่บริเวณตอนบนของทุ่งกุลาร้องไห้ นับตั้งแต่เมืองจำปาขัณฑ์ ในเขตบ้านตาเณร อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด และเมืองโบราณที่บ้านบึงแก บ้านดงเมืองเตย และบ้านตาดทอง จังหวัดยโสธร เมืองนครจำปาศรี อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม และบ้านเมืองเพีย อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น ล้วนเป็นชุมชนเมืองที่มีพัฒนาการมาจากชั้นดินทางวัฒนธรรม ในยุคเหล็กตอนปลายที่สัมพันธ์กับประเพณีฝังศพครั้งที่สองที่กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้น การเติบโตของบรรดาเมืองตั้งแต่สมัยทวารวดี เจนละ และลพบุรีเหล่านี้ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ที่สัมพันธ์กับการผลิตเกลือ และเหล็กอย่างชัดเจน อย่างเช่นเมืองที่ดงเมืองเตย นอกจากมีฐานปราสาทสมัยเจนละ และศิลาจารึกที่กล่าวถึงกษัตริย์ในตระกูลเสนะแล้ว ยังเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนแหล่งถลุงเหล็กอีกด้วย หรือเมืองนครจำปาขัณฑ์ที่อำเภอสุวรรณภูมิก็ตั้งอยู่ท่ามกลางแหล่งผลิตเกลือ ที่มีการส่งผ่านไปตามเส้นทางคมนาคม ผ่านกู่พระโกนาและทุ่งกุลาร้องไห้เข้าสู่เขตจังหวัดสุรินทร์ ผ่านช่องเขาไปเขตเขมรต่ำในประเทศกัมพูชา
ในขณะที่เมืองนครจำปาศรีที่อำเภอนาดูนตั้งอยู่บนเส้นทางที่แยกจากกู่พระโกนาไปทางตะวันตก ไปตามลำเตา ผ่านกู่กาสิงห์ เมืองบัว ขึ้นไปจนถึงนครจำปาศรี ซึ่งมีกู่น้อยและกู่สันตรัตน์ที่เป็นศาสนสถานแบบขอมตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และต่อจากนครจำปาศรีก็มีเส้นทางขึ้นไปยังลุ่มน้ำชีในเขตจังหวัดมหาสารคาม ขอนแก่น และอุดรธานี
ตามเส้นทางดังกล่าวนี้ มีร่องรอยปราสาทขอมเป็นระยะๆ ไป บรรดาชุมชนใหญ่น้อยตามเส้นทางนี้ล้วนมีความสัมพันธ์กับการถลุงเหล็กและทำเกลือด้วยกันทั้งนั้น และหลายๆ แห่งที่พัฒนาขึ้นตามเส้นทางนี้ก็มีความสัมพันธ์กับการฝังศพครั้งที่สอง เช่นที่พบในเขตทุ่งกุลาในชั้นดินทางวัฒนธรรมชั้นบนๆ

ประเพณีฝังศพครั้งที่สอง มีมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์
สืบเนื่องเรื่อยมาจนเข้าสู่ยุคต้นประวัติศาสตตร์