แต่การปลุกปั่นเด็กเยาวชนให้เป็นเครื่องมือทางการเมืองตามที่กล่าวมานี้ก็หาได้หมดไปไม่ ดูเหมือนจะไปเกิดขึ้นที่กัมพูชายุคเขมรแดง สมัยพล พต เป็นผู้นำ การดำเนินงานของเด็กเยาวชนที่มีอำนาจ ได้ทำให้เกิดการฆ่ากันอย่างมโหฬาร [Killing Field] นับล้านคนในสังคมกัมพูชาก่อนที่พล พตจะสิ้นอำนาจ ถึงแม้ในทุกวันนี้การใช้เด็กเยาวชนเป็นเครื่องมือเพื่อการปฏิวัติและกระทำการรุนแรงก็ยังหาได้หมดไปไม่ เพราะได้ยินมาว่า การเกิดความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดภาคใต้ก็มีการใช้เด็กและผู้หญิงเป็นกำลังในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน
จนมาในทุกวันนี้การปลุกปั่นเด็กและเยาวชนเพื่อการปฏิวัติ โผล่ให้เห็นในสังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง เริ่มด้วยการแสดงออกของเยาวชน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนหญิงในชั้นมัธยมออกมาด่าว่าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ เช่นพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีพระคุณ เพราะเด็กเกิดมาอันเนื่องมาจากการเสพย์ต่อทางเพศ ส่วนครูบาอาจารย์ก็เป็นเพียงคนรับจ้างสอนหนังสือเพื่อเลี้ยงชีพ คนเหล่านี้ไม่ทันโลก เป็นพวกเต่าล้านปีไดโนเสาร์อะไรทำนองนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจก็คือ วิธีการใช้เด็กเยาวชนเป็นเครื่องมือในการปฏิวัตินั้นหาได้เป็นความคิดมาจากสังคมที่เป็นคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยม เช่น จีน รัสเซีย และอิสราเอล ที่เลิกไปนานแล้ว เพราะตระหนักดีว่าการใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการปฏิวัตินั้นใช้ในยุคที่สังคมวิกฤตที่ต้องต่อสู้เท่านั้น เมื่อเข้าสู่ภาวะปกติแล้วทุกอย่างในความเป็นมนุษย์ก็กลับมา ดังเช่นที่อิสราเอลและจีนไม่มีใครปล่อยให้ลูกอยู่ในคิบบุทช์ และโรงเลี้ยงเด็กอีกต่อไป
ความเป็นสถาบันครองครัวก็กลับมา เมื่อความคิดที่สอนให้เด็กอกตัญญูกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หาได้มาจากสังคมฝ่ายสังคมนิยมแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นว่ามีที่มาจากสังคมเสรีประชาธิปไตยที่เป็นทุนนิยมสามานย์ เช่น อเมริกาอย่างแน่นอน เพราะมหาวิทยาลัยสำคัญๆ ในอเมริกามักสอนให้บรรดาสักศึกษาไทยที่จบการศึกษามาเป็นข้าราชการ ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยว่า
‘ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุดที่มีการปกครองแบบประธานาธิบดีนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เพราะมีสถาบันกษัตริย์เป็นอุปสรรคในขั้นตอนวิวัฒนาการของประชาธิปไตยแบบอเมริกัน’
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นนักวิชาการทางสังคมที่ไม่ได้เรียนจบจากอเมริกา ไม่เชื่อว่าสถาบันกษัตริย์จะเป็นอุปสรรคของความเป็นประชาธิปไตยตามแนวคิดวิวัฒนาการทางสังคม หากมองในทางตรงข้ามว่าสถาบันกษัตริย์ยังมีหน้าที่ [Function] ในทางคุณูปการแก่สังคมที่มีอยู่ในสยามประเทศตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมาช้านานแล้ว
เพราะเป็นสถาบันที่จรรโลงทั้งสถาบันศาสนา [Religion] และสถาบันครอบครัว [Family] และชุมชน [Community] อันเป็นสถาบันสากลในความเป็นมนุษย์ โดยหน้าที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกปกครองดูแลพระสงฆ์และวัด อันเป็นศูนย์กลางสังคมของครอบครัวและชุมชน ดังเห็นได้แต่อดีตมาจนปัจจุบัน วัดและบ้านหรือชุมชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การสร้างวัดคือการสร้างชุมชน เช่นในยามที่มีผู้คนโยกย้ายเข้ามาจากภายนอกเข้ามาเป็นคนในแผ่นดินก็มี หรือเมื่อมีการทำศึกสงครามกับประเทศอื่น เมืองอื่น การกวาดต้อนผู้คนเข้ามาก็นำเอามาเป็นพลเมืองโดยพระมหากษัตริย์ก็ไม่ฆ่าตี หรือเอามารับใช้เป็นทาสแบบอย่างที่มีในบ้านอื่นเมืองอื่นในยุโรปหรืออเมริกา หากจะให้เข้ามาอยู่รวมกันในท้องถิ่นเป็นชุมชนด้วยการที่พระมหากษัตริย์ทรงกัลปนาที่ดินสร้างวัดแล้วกัลปนาผู้คนที่มาจากภายนอกให้เป็นข้าวัด ตั้งบ้านเรือนและทำกินในที่ดินของวัด และดูแลรักษาวัดให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนและครอบครัว เพื่อคนจะได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนทางสังคม ที่กลายมาเป็นคนไทยตามท้องถิ่นในเวลาผ่านไป