ผู้เข้าชม
0
11 มิถุนายน 2565

ชนชั้นของข้า” :  สถานภาพทางสังคมของชนชั้นข้าและต่ำกว่าข้า จากเอกสารประวัติศาสตร์ล้านนา - สยาม

สังคมล้านนายุคจารีตแยกคนเป็นชนชั้น ๒ ชนชั้นใหญ่ ๆ คือ ชนชั้นมูลนาย ประกอบด้วยผู้เป็นมูลนายโดยกำเนิดเรียกว่า เจ้า กับพวกมูลนายเพราะทำราชการ หรือ ท้าว” “ขุนฯลฯ กลุ่มนี้เรียกรวม ๆ ว่าพวก เจ้าไท มูลนายโดยกำเนิดที่สืบสายเลือดจาก พระญา เท่านั้นจึงมีสิทธิชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งปกครองประชากรทุกกลุ่มซึ่งถูกจัดรวมเป็น ข้าของเจ้าแผ่นดิน ดังภาษิตว่า เชื้อขุนก็ให้ปองเป็นขุนไจ้ เชื้อไพร่ให้หมั่นกระทำการ

ส่วนชนชั้นไม่ใช่มูลนาย คือ ไพร่ และ ข้า โดยพวก ไพร่ (ไพร่ไท, ไพร่ฟ้า) เป็นพวกที่ไม่มีราคาค่าตัว อยู่ภายใต้การควบคุมของมูลนายให้ทำงานราชการ และ สร้างผลผลิตส่งส่วยให้ราชสำนัก มีข้อห้ามมิให้ไพร่ที่มีทักษะการต่อสู้เป็น พลหอกพลอาวุธ” (ทหาร) ขายตัวเองเป็นข้าเพื่อเอาเงินใช้หนี้ จารีตล้านนาอนุญาตให้เอาที่นาประจำตำแหน่งตีราคาหรือขายลูกตัวเองเป็นข้า เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้

ที่น่าสนใจคือพวกที่ถูกเรียกว่า ข้าปรากฏว่าในพวกเดียวกันเองกลับมีการแบ่งชนชั้น มีข้าที่มีสิทธิทางสังคมเทียบเท่าหรืออาจจะมีอภิสิทธิ์มากกว่าชนชั้นมูลนาย  และ พวกข้าที่ไร้สิทธิแม้แต่ชีวิตของตนเองก็ใช้อย่างใจไม่ได้

ชนชั้นข้า ในล้านนามี พวกใหญ่

ข้าพวกแรกพบหลักฐานอยู่ในจารึกสมัยล้านนากว่า ๗๐ หลัก มีหน้าที่ดูแลรักษาศาสนา รวมถึงผลประโยชน์ของศาสนสถานที่ตนสังกัด เรียกว่า ข้าพระ” “ข้าพระเจ้า” “ข้าวัด ฯลฯ ข้าอีกพวกที่ไม่ถูกกล่าวถึงในจารึก แต่ถูกกล่าวถึงในเอกสารด้านกฎหมายของล้านนา เป็นพวกที่ คนค้าข้า” (นายหน้าค้าข้า) นำพาไปซื้อขายได้เช่นเดียวกับสิ่งของ ข้า” พวกที่สองนี้จึงมีความหมายตรงกับคำว่า ทาส ในสังคมยุคจารีตแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คือ เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่มีและไม่อาจเรียกร้องค่าแรงจาก เจ้าข้า และ ถูกจำกัดสิทธิทางสังคมรวมทั้งทางกฎหมาย เช่น หากข้าฆ่าเจ้าข้าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดมีโทษสถานเดียว คือ ประหารชีวิต และคำว่า ข้ายังถูกใช้กล่าวถึงพวกคนรับใช้ที่อยู่ในเรือนของกลุ่มมูลนายไม่มีราคาซื้อขายหรือค่าตัว ได้รับค่าตอบแทนหรือสินจ้างเช่นเดียวกับ บ่าว ของสยาม ข้าพวกนี้อาจถูกเรียกว่า ข้าไท” “ข้าไท  อีกด้วย

จารึกพระเจ้าสววาธิสิทธิ ด้านที่ ๒ (วัดกุ่กุด)

พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ระบุว่ามีการถวายทาสชาย ๑๖ คน และทาสหญิง ๒๖

แก่ศาสนสถานแห่งหนึ่งปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย