การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นนักการเมืองใหม่ในสังคมเพื่อล้มล้างรัฐบาลในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยการปลุกระดมให้มีเด็กนักเรียนออกมาเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้คือ การเคลื่อนไหวในลักษณะการปฏิวัติวัฒนธรรมที่มีมาแต่ยุคสงครามเย็น
สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ ครั้งนั้น โลกแบ่งสังคมออกเป็นสองฝ่าย คือ ‘ฝ่ายที่มีการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยที่เป็นทุนนิยม’ กับ ‘ฝ่ายสังคมนิยมประชาธิปไตย’ ที่คนไทยเรียกว่า ‘คอมมิวนิสต์’ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและคนส่วนใหญ่ในประเทศมองว่าเป็นฝ่ายอธรรม ที่กำลังขยายตัวแผ่อำนาจเข้ามายึดครองบ้านเมือง เปลี่ยนแปลงการปกครอง ศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมที่มีมาแต่เดิมให้หมดไป
ครั้งนั้นข้าพเจ้าเป็นนักเรียน ข้าพเจ้าได้รับการอบรมบอกเล่าจากพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และผู้รู้ในสังคมว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นปลุกขึ้น สอนให้ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะบรรดาเด็กนักเรียนที่เป็นเยาวชนเลิกเคารพพ่อแม่ว่าไม่ได้เป็นผู้มีพระคุณแต่อย่างใด เพราะการให้กำเนิดลูกเต้านั้นเป็นผลมาจากความสุขในทางเพศ ส่วนผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็เป็นเพียงแต่ผู้รับจ้างสอนหนังสือเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังและนบนอบ เด็กและผู้ใหญ่ทัดเทียมกันหมด ส่วนเรื่องศาสนาก็เป็นเรื่องงมงายไม่จำเป็นต้องมีวัดและมีพระหรือนักบวชเพื่อสั่งสอนศาสนาและทำพิธีกรรม
ในสมัยข้าพเจ้าเป็นเด็กนักเรียนการบอกเล่าและอบรมให้เด็กและคนตามท้องถิ่นต่างๆ ในชนบทหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ดูได้ผลดี เพราะคนที่เป็นชาวบ้านพื้นถิ่นมองคอมมิวนิสต์เหมือนภูตผีปีศาจ กลายเป็นความเชื่อที่อยู่สืบมาจนกระทั่งราว พ.ศ. ๒๕๐๙-๑๐ สมัยเมื่อข้าพเจ้าไปเก็บข้อมูลทางชาติวงศ์วรรณาในชุมชนหมู่บ้านที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อนำไปเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ทางมานุษยวิทยาสังคมเสนอต่อมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลีย เพราะตามบ้านเรือนของชาวบ้านมักมีรูปภาพของหัวกะโหลกผีและรูปภูตผีปีศาจ มีเขาแบบผีฝรั่ง เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายแบบคอมมิวนิสต์
ความเชื่อดังกล่าวนี้มีผลถึงข้าพเจ้าที่เข้าไปศึกษาพูดคุยกับชาวบ้านในชุมชน เพราะระยะแรกๆ ที่เข้าไปในฐานะคนแปลกหน้า ไม่ใช่คนในชุมชน ข้าพเจ้ามักถูกมองและสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ก็เป็นสายลับของทางราชการ
เพราะชาวบ้านนอกจากไม่ชอบคอมมิวนิสต์แล้วยังไม่ชอบคนที่เป็นข้าราชการด้วย ข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่เป็นบุคคลไม่น่าไว้ใจรวม ๔-๕ เดือน แต่เมื่อสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมได้เป็นที่วางใจแล้ว ราว ๖ เดือนต่อมา ชาวบ้านก็ยอมรับและมักเรียกข้าพเจ้าเป็นญาติพี่น้องเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในชุมชน แต่ในขณะที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษานานาชาติ เช่น มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเวียดนามรวมอยู่ด้วย ข้าพเจ้าและนักศึกษาที่เป็นคนไทยมักถูกมองจากบรรดานักศึกษาจากประเทศอื่นว่ามาจากประเทศที่เป็นขี้ข้ารับใช้อเมริกันในการทำสงครามกับเวียดนาม มักถูกมองด้วยสายตาที่เย้ยหยัน เลยพยายามหาทางทำความเข้าใจว่าทำไมนักศึกษาต่างชาติเหล่านั้นไม่ชอบคนไทย จนได้บทเรียนจนหายโง่เมื่อพบปะสนิทสนมกับนักศึกษาเวียดนามใต้คนหนึ่งและถามเขาว่าทำไมมีใจให้กับเวียดนามเหนือที่เป็นคอมมิวนิสต์ เขาบอกว่าเขาเป็นคนชาติเวียดนาม เช่นเดียวกันทั้งเหนือและใต้ แต่อเมริกันคือผู้รุกรานและใช้เมืองไทยเป็นฐานทัพ ส่งเครื่องบินและกำลังรบไปทำลายบ้านเมืองเขา คนเวียดนามผู้เป็นพี่น้องร่วมชาติภูมิล้มตายเป็นล้านๆ คน บ้านเมืองพินาศวอดวายอย่างทนโท่ ไม่น่าจะต้องมาวุ่นวายกับการเป็นคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยที่ทั้งคนไทยและอเมริกัน
ถือว่าเป็นความสำคัญ ข้าพเจ้าเห็นใจและเข้าใจในความรู้สึกของนักศึกษาคนนั้น และกลับทุเรศในความเป็นคนไทยที่บ้าบอกับลัทธิความเป็นคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย
เมื่อได้เรียนรู้วิชามานุษยวิทยาสังคมและมีโอกาสออกไปศึกษาความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนตามท้องถิ่นต่างๆ ข้าพเจ้าก็สามารถทำความเข้าใจได้ว่า ความเป็นระบอบการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยเป็นอุดมคติของทั้งสองค่าย แต่ต่างกันทางรูปแบบ